Sunday 24 July 2011

พาเที่ยวพม่า - พุกาม( Bagan)

ต่อจากตอนที่แล้ว วันนี้จะพาไปเที่ยวเมืองบากัน หรือ พุกามที่พวกเรารู้จักกันดี

 


พุกามรุ่งเรืองสูงสุดในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 ผู้คนต่างศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา กันอย่างมากมาย มีการสร้างวัดสร้างเจดีย์จำนวนมากมายขึ้นทั่วอาณาจัก รเพราะเชื่อว่า การสร้างเจดีย์จะได้อานิสงส์สูงสุด

เจดีย์ของชาวบ้านก็จะมีขนาดเล็ก เจดีย์ของเจ้านายชั้นสูงก็จะมีขนาดใหญ่ เจดีย์หุ้มทองก็จะเป็นของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ มีทั้งองค์เดี่ยว องค์หมู่ มากมายนับแทบไม่ถ้วนว่ากันว่า ทะเลเจดีย์

เจดีย์ในพุกามมีมากถึง 4 พันองค์ แต่ทุกวันนี้หลงเหลืออยู่เพียง 2 พันกว่าองค์เท่านั้นทั้งจากที่เสื่อมโทรมไปตามกาลเวล า และที่ถูกรื้อถอนมาสร้างเป็นกำแพงเมือง หอรบในสงครามครั้งสุดท้ายของพุกามสงครามกับ พระเจ้ากุบไลข่าน แห่งมองโกลและนั่นคือ จุดจบของ อาณาจักรพุกาม

----


ที่แรกที่จะพาไปคือ อนันดาวิหาร (Ananda Temple) ได้รับการยกย่องว่าคือสุดยอดพุทธศิลป์สกุลพุกาม

ที่วิหารอนันดานี้ ภายในเจดีย์ จะสร้างพระพุทธรูปประทับยืน 4 องค์ หันหลังชนกันหันหน้าไปทางทิศทั้ง4
มีการจัดวางไฟได้สวยงามมาก
---

ด้านอื่นๆในแต่ละทิศ
---






ด้านนอกก็อลังการไม่แพ้กัน
---


ที่เจดีย์ พยาตองสู ในไกด์บุ๊คบอกว่ามีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงาม แต่สภาพลบเลือนไปเยอะและทางเจ้าหน้าที่ห้ามใช้กล้องถ ่ายภาพ นัยว่ากลัวแสงแฟลชจะไปทำลายภาพเขียน เลยห้ามถ่ายภาพซะงั้น

แตพอพวกเราขออนุญาตโดยไม่ใช้แฟลช เจ้าหน้าที่ก็อนุญาตให้ถ่ายภาพได้แบบเร็วๆ
---





วิวพุกามยามสนธยา ก่อนพระอาทิตย์จะลับลาขอบฟ้าที่ เจดีย์เปี๊ยะดาจี มุมมหาชนที่ใครมาก็ต้องมาที่นี่กัน
---







พอใกล้พระอาทิตย์จะลับลา สภาพแสงสวยงามมากมาย ถ่ายกันแทบไม่ทัน สภาพแสงความเปรียบต่างแรงมาก ได้ยินคุณเดชบ่นว่า ซ้อน nd ถึง 7 สต้อปแล้วยังเอาไม่อยู่

แต่ของเรา ซ้อนแค่ชั้นเดียว(เพราะมีไปอันเดียว) ได้แค่ไหนก็ใช้แค่นั้น อิอิ
---

ลืมขอบคุณเจ้าของเลนส์ คือน้าบัญ ที่ให้ยืม 300 มม f4l ไปใช้ ระยะกำลังดีไม่ต้องมาครอปใน pc ให้เสียเวลา

แต่ได้ 500 มม. รีเฟล็กซ์ ยืมจากคุณฉุนไปอีกอัน ก็ต้องใช้ให้คุ้ม คุณภาพดีเกินราคา น่าใช้มากๆ
---


จบวันแรกในพุกาม แต่เรายังมีเวลาเหลือเฟือที่นี่อีก 3 วัน รวมเป็น 4 วัน ที่เราจะเจาะลึกที่นี่
---


เช้าวันนี้ รีบตื่นแต่มืดก่อนพระอาทิตย์ ไม่ใช่ไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้น แต่พวกเราจะไปที่ วัดไม้แกะสลัก พิพิธภัณฑ์ซาเร ที่ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมง เผื่อจะได้แสงสวยๆยามเช้าที่นี่

แต่....เรามาเร็วเกินไป เค้ายังไม่เปิดให้เข้าชมต้องรอ 9 โมงเช้า ฉะนั้น เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราไปหาร้านกาแฟทานอะไรรองท้องกันดีกว่า

นั่งทาน ชา กาแฟ กับ ปาท่องโก๋ตัวยักษ์ และ ซาโมซาแสนอร่อยกัน

อิ่มแล้ว ก็ขอบุกหลังร้านดูวิธีทำซะหน่อย
---




อิ่มหนำสำราญ เราก็กลับไปที่ วัดไม้แกะสลักอีกครั้ง ระหว่างรอเปิด ก็ถ่ายรอบๆด้านนอกไปก่อน
---


ถ่ายไปถ่ายมา เหลือบไปเห็นด้านข้างของวัด ด้านที่เป็นกุฏิพระ พระเณรกำลังออกบิณฑบาต จะช้าอยู่ใย....

พระที่นี่ ท่านใจดีมากๆ เพราะเรายกกล้องจะถ่าย ท่านก็หยุดให้เราถ่ายจนหนำใจ ท่านถึงออกเดินต่อ บางท่านใจดีมากถึงกับ เชื้อเชิญให้พวกเราขึ้นไปถ่ายบนกุฏิที่พักได้
---




กุฏิไม้เก่า บางแห่งมีแสงลอดสวยๆ และเณรที่มายืนดูพวกเรา ก็ถูกจับมาเป็นแบบซะเลย
---

เณรกับแสงวินโดว์ไลท์งามๆ
---



ด้านนอกกุฏิ กับลวดลายไม้แกะสลักที่งดงามมาก
---





พิพิธภัณฑ์เปิดแล้ว เราไปชมความงามกันค่ะ

ที่นี่นัยว่า เป็นวังของเจ้าเมือง แล้วถวายให้เป็นวัดภายหลัง ฉะนั้นจึงเห็นความงามของงานไม้แกะสลักทุกพื้นที่ของต ัวอาคาร ตั้งแต่ประตูทางเข้าที่แกะเป็นตัวตุ๊กตาไม้ทำเป็นที่ จับประตู
---


ด้านในมีพระพุทธรูปเก่าๆที่มีลักษณะงดงาม เก็บรักษาไว้
---




ระหว่างที่รอหนุ่มๆ ที่ยังถ่ายภาพไม่เสร็จ ป้าก็เดินดูของไปเรื่อยๆ จนไปเจอเณรนั่งอยู่ริมกำแพง จึงยกกล้องถ่าย พอเณรเห็นเท่านั้น แทนที่จะหลบกลับเดินตรงมาหา ให้ถ่ายแบบใกล้ๆแทน
---




เณรน้อยอิคิว
---






หลังทานอาหารเที่ยงเสร็จ พวกเราก็ไปต่อที่วัดที่มีเสาไม้สีแดงเป็นแนวยาว ชื่อวัดซินซาเปยโจ
---






ระหว่างทางกลับเข้าที่พัก แวะถ่ายชาวบ้าน และ แม่ชีสีชมพูริมทาง
---




และชมการแสดงเชิดหุ่นกระบอกระหว่างมื้อค่ำ
---




วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว สำหรับการอยู่ที่บากัน เช้านี้ยังต้องรีบตื่นแต่มืดเพื่อไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ ้นที่ เจดีย์มินยางกง

ลืมเล่าไปค่ะ ทุกแห่งที่เราไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้น หรือ พระอาทิตย์ตก หมายความว่าเราต้องปีนขึ้นไปเกือบถึงยอดเจดีย์ เพื่อให้วิวมุมสูง บันไดส่วนใหญ่แคบและชัน การเดินในความมืดจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

วันนี้พวกเราไปถึงเกือบจะเป็นกลุ่มแรกๆ มีมาจับจองที่ก่อนไม่กี่คน จึงเลือกมุมได้ตามอัธยาศัย
---








แสงยามเช้า.........
---



ถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ลงมาก็อย่าลืมเก็บภาพพระพุทธรูปองค์ใหญ่ภายในเจดีย์ไ ว้ด้วย
---




เราแวะที่เจดีย์ อะแปยะตะนะ ที่มีภาพแสงส่องลงมาตรงพระอุระของพระพุทธรูป ก็เลยตามมาดูเผื่อจะได้ภาพเหมือนกัน ปรากฎว่ามาผิดฤดู องศาของแสงจึงไม่โดนองค์พระ
---


เจดีย์ต่อไปคือ เจดีย์ธรรมยางจี

วัดเจดีย์ธรรมยงจี เป็นเจดีย์ที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุดในพุกาม สร้างโดยพระเจ้านราธุ กษัตริย์ผู้ปลงพระชนม์พระบิดาของพระองคืเองและเกรงมี ความผิดจึงได้สร้างวัด เพื่อเป็นการไถ่บาป ซึ่งพระเจ้านราธุ ทรงคุมการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง แต่พระองค์ก็ถูกลอบปลงพระชนมเสียก่อนที่วัดจะเสร็จ วัดนี้จึงมีอีกสมญานามว่า “เจดีย์ที่สร้างไม่เสร็จ”
---









หลังมื้อกลางวัน แวะถ่ายวิวด้วยเลนส์อินฟราเรด และแวะวัดข้างๆ






วันสุดท้ายที่เราจะพักที่บากัน หรือ เป็นวันที่ 5 ของการเดินทาง

ภาพระหว่างทาง
----





เจดีย์ชเวสิกอง 1ใน5 มหาศักดิ์สิทธิ์ ที่ต้องมาให้ได้ ที่นี่มีความมหัศจรรย์ ๙ ประการ

- ยอดพระเจดีย์ไม่มีการใช้เหล็กเสริม
- กระดาษห่อแผ่นทองคำเปลวที่นำไปปิดส่วนยอดพระเจดีย์ จะไม่ปลิวพ้นฐานสี่เหลี่ยมของพระเจดีย์
- เงาพระเจดีย์จะไม่ล้ำออกนอกฐานสี่เหลี่ยมของพระเจดีย ์ (ถ้าเงาล้ำออกไป ถือว่าเป็นลางร้าย)
- ภายในเขตองค์พระเจดีย์ สามารถรองรับผู้แสวงบุญได้ไม่จำกัดจำนวน (ไม่เคยเต็ม)
- มีการให้ทานด้วยข้าวสุกร้อน ๆ ทุกเช้า (ไม่ว่าเราจะตื่นเช้าสักเพียงใด จะพบข้าวสุกในบาตรอยู่ก่อนหน้าเราเสมอ)
- เมื่อตีกลองใบใหญ่จากด้านหนึ่งของพระเจดีย์ จะไม่สามารถได้ยินเสียงกลองจากด้านตรงข้าม
- แม้พระเจดีย์จะตั้งอยู่บนพื่นราบ แต่เมื่อมองจากภายนอก จะเกิดภาพลวงตาคล้ายพระเจดีย์ตั้งอยู่บนที่สูง
- ไม่ว่าฝนจะตกหนักเพียงใด จะไม่มีน้ำฝนขังอยู่ในอาณาเขตขององค์พระเจดีย์
- มีต้นพิกุล (Khaye หรือ Chayar) ซึ่งจะออกดอกตลอดทั้งปี (ปรกติจะออกปีละครั้ง)

เสียดายที่มาอ่านพบเมื่อกลับมาแล้ว เลยไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นจริงตามที่กล่าวอ้างหรือไม่
---





อีกแห่งที่ไม่ควรพลาด คือ เจดีย์มนูหะ

สร้างข้นในสมัยพระเจ้ามนูหะ กษัตริย์มอญที่รบแพ้พระเจ้าอโนรธาในปี พ.ศ.1600 และถูกจับตัวมาเป็นเชลยที่พุกาม พร้อมด้วยมเหสีและพลเมืองมอญกว่า 30,000 คน ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป อยู่ 3 องค์ ซึ่งองค์ประธานมีขนาดใหญ่โตจนคับวิหาร แสดงให้เห็นถึงความอึดอัดพระทัยของพระเจ้ามนูหะที่ต้ องถูกจับมาเป็นเชลย
---

และไปถ่ายพระอาทิตย์ตกกันที่ เจดีย์เปียะกุนี และ เตากุนี ซึ่งไกด์อธิบายว่า กุนี แปลว่า แดง , เปี๊ยะ แปลว่า เหนือ ดังนั้น เปี๊ยะกุนี แปลว่า เจดีย์แดงทิศเหนือ และ เตากุนี แปลว่า เจดีย์แดงใต้

เนื่องจากวันแรกได้ภาพพระอาทิตย์ตกอย่างจุใจแล้ว ก็เลยปล่อยให้หนุ่มๆเค้าขึ้นไปถ่ายกัน ตัวเองก็เดินท่อมๆที่ฐานล่างของเจดีย์เก็บแสงสวยๆกับ เจดีย์สีแดง ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้า ดีกว่า
---




แสงเงามีให้เก็บภาพอย่างจุใจ....
---


บอกแล้ว มุมสวยๆมีให้เราเลือกเก็บเยอะแยะ อยู่ที่เราจะหาเจอหรือไม่ เมื่อเจอแล้วเรามีวิธีจัดการอย่างไร
---





แสงสวยๆกับเจดีย์แดงสวย
---






เบื่อกันหรือยัง..... งั้นปิดทริปด้วยภาพนี้
---


ก่อนจาก ........ ตามธรรมเนียมต้องมีของฝาก

งวดนี้มีของมาฝากเพียบ อิอิ
---







แถม..... อาหารพม่าบางเมนูที่ได้มีโอกาสได้หม่ำ

จานแรก รสชาดเหมือนปลากระป๋องบ้านเรา แต่ก็มีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ รสชาดอร่อยมากๆ
จานถัดมา รสเหมือนน้ำพริปลาป่น อร่อยอีกแหละ
จานถัดมา เหมือนไก่ต้มเค็ม อร่อยแต่ไม่ค่อยชอบ
---



จานนี้เป็นปลาผัดกับอะไรบ้างไม่รู้ เพราะเละปนกันหมด อร่อยเหมือนกัน แต่ก้างเยอะเลยไม่ค่อยกล้าทาน
จานสุดท้าย แค่เห็นคงเดาได้ กุ้งทอดกระเทียมพริกไทย

ที่นี่กุ้งคงหาไม่ยาก เพราะตัวโตอร่อยกว่ากุ้งบ้านเรา
---


จบแล้วค่ะ ที่พระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจท์ถิโย มีภาพไม่มาก เอามารวมเป็นการปิดทริปเลยค่ะ




No comments:

Post a Comment

ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......