Irkutsk ชื่อเมืองไม่คุ้นลิ้นที่เอ่ย เป็นเมืองอะไรนะ รู้แต่ว่าเมืองนี้มีทะเลสาบไบคาล ซึ่งเคยเรียนตั้งแต่เด็กๆว่าเป็นทะเลสาปน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดหรือลึกที่สุดอะไรนี่แหละ และเมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ของแคว้นไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย
พอได้ยินคำว่า ไซบีเรีย ขนแขนก็พร้อมจะตั้งชันด้วยความหนาวที่ขึ้นชื่อว่า หนาวสุดแสนจะหฤโหด และเราจะต้องเดินางทไปช่วงหน้าหนาวที่เป็นช่วงเวลาที่หนาวที่สุด เพราะเราจะไปเดินเล่นบนทะเลสาปไบคาลที่กลายเป็นน้ำแข็งทั้งทะเลสาบ
จากคนเมืองร้อนที่ร้อนเกือบที่สุดในโลก ใกล้เส้นศูนย์สูตร เราต้องไปเมืองที่อยู่สูงที่สุดใกล้ขั้วโลกเหนือ ช่วงที่เราไปอุณหภูมิลดลงจนถึงประมาณ -20 ถึงลบมากกว่านี้ แต่ก่อนจะไปทะเลสาบไบคาล เราต้องไปตั้งต้นที่เมือง Irkutsk จุดที่สายการบิน S7 ลงจอด และเราต้องพักปรับสภาพร่างกายให้คุ้นหนาว และ ถ้าเตรียมเครื่องกันหนาวมาไม่พอหรือหนาไม่พอ ขอแนะนำให้มาซื้อเพิ่มได้ที่เมืองนี้ เพราะเครื่องกันหนาวราคาถูกกว่าในบ้านเรามากกว่าครึ่ง และ กันหนาวได้เด็ดขาดจริงๆ
เมือง Irkutsk เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นไซบีเรียในอดีตเป็นศูนย์กลางการสังสรรค์เสวนาของเหล่านายทหาร ศิลปินและชนชั้นสูงหัวก้าวหน้าที่ต้องการก่อการปฏิวัติต่อพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองใน มอสโคเมื่อในปี 1825 หลังจากที่ถูกปราบปราม (เรียกกันว่ากบฏธันวาคมหรือกลุ่มDecemberist Revolt) และถูกเนรเทศมาที่ไซบีเรีย เหล่านายทหารหรือศิลปินได้รวมตัวกันตั้งรกรากอยู่ที่เมืองอีร์คุสตค์แห่งนี้ ทำให้เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางความรู้และสังคมแบบปัญญาชนแห่งไซบีเรีย จนครั้งหนึ่งได้เคยถูกเรียกขานกันว่าเป็น “ปารีสแห่งไซบีเรีย” มรดกทางวัฒนธรรมที่ตกทอดมายังปัจจุบัน ที่เห็นได้ชัดคือบ้านไม้แบบดั้งเดิมที่ตกแต่งด้วยลายฉลุงามๆตามใจกลางเมืองที่หาชมได้บนถนนทั่วเมือง
สัญลักษณ์ประจำเมืองนี้ คือรูปปั้นตัวบาบร์ (Babr) คาบตัวเซเบิล (Sable) หรือเสือคาบหมาไน ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 1686 BABR เป็นสัตว์ลึกลับในตำนานที่ไม่รู้ที่มาที่ไป หน้าตาดูคล้ายสุนัขจิ้งจอกหรือแมว แต่จริงๆ แล้วส่วนหัวและลำตัวมีลักษณะเหมือนเสือโคร่งไซบีเรีย ส่วนอุ้งเท้าและหางจะเหมือนบีเวอร์ สัญลักษณ์แห่งความโดดเด่น พลังอำนาจและความมั่งคั่งของเมือง ที่ใช้เป็นตราประจำเมือง (Code of Arms)
เมือง Irkutsk มีอีกชื่อนึงว่า Paris of Siberia มรดกทางวัฒนธรรมส่วนใหญ่ของเมือง บ้านไม้หลายหลังจากยุคนั้นที่ก่อสร้างด้วยไม้ สลักเสลาลวดลายเป็นเอกลักษณ์ ยังคงอยู่ให้เห็นจนถึงทุกวันนี้ ในช่วงปี 1900 เมืองนี้ได้รับฉายาว่า ‘ปารีสแห่งไซบีเรีย’ เนื่องจากมีถนนกว้างและมีสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกคล้ายคลึงกับปารีส และเมืองนี้เป็นเมืองแห่งศิลปะ เพราะมีศิลปินชาวรัสเซียถูกเนรเทศมาอยู่ที่นี่ หากเดินเท้าเที่ยวชมเมือง เราจะพบกับรูปปั้นเก๋ๆ ตั้งอยู่ริมถนน และสวนสาธารณะเล็กๆ มากมาย เช่น รูปปั้น A gazing tourist กลุ่มรูปปั้น Leonid Gaidai shooting a movie และรูปปั้น Movie date เป็นต้น
โบสถ์รัสเซียแตกต่างจากที่อื่น ตรงที่เป็นนิกายออร์ธอด็อกซ์ ที่รับมาจากคอนสแตนติโนเปิ้ลตั้งแต่สมัยก่อน โบสถ์ที่นี่จึงมียอดโดมหน้าตาคล้ายหัวหอมสีสันสดใส
นอกจากโบสถ์แล้ว บ้านเรือนที่นี่ก็มีสิ่งก่อสร้างที่บอกเล่าความเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ศตวาาษที่19 มาจนปัจจบัน ของเก่ายังคงได้รับการอนุรักษ์ใช้งานคงความคลาสสิคจนปัจจุบัน
จาก กรุงเทพ เราออกจากสนามบินสุวรรณภูมิราวๆ บ่ายสามโมงเย็น อุณหภูมิเวลานั้น 30 C บนเครื่องจะชุลมุนวุ่นวายกับบรรดานักท่องเที่ยวชาวรัสเซียที่อุ้มลูกจูงหลานกันมามาเที่ยวเมืองไทยเต็มลำ กระเป๋าของฝากหิ้วกันมาแบบเต็มพิกัด คงสนุกสุดเหวี่ยงกับการช้อปปิ้งในบ้านเรานำกลับไปฝากญาติที่อีร์คุตส์ ทั้งลำน่าจะมีพวกเราชาวสยามกลุ่มนี้กลุ่มเดียวเท่านั้นที่แปลกแยก นอกจากช่องเก็บของเหนือศรีษะที่ถูกรุกรานจนแน่นเอี๊ยดทุกช่องแล้ว นอกนั้นพวกเราก็ไม่ได้โดนรบกวนใดๆ นอกจากเสียงเด็กๆเล่นกันคุยกันตลอดทาง แต่น่าสงสารแอร์ที่ทำงานหนักมากเพราะจะถูกเรียกให้มาเสริฟน้ำเสริฟไวน์ให้ผู้โดยสารรัสเซียตลอดเวลา จนเกือบห้าทุ่มของเวลาที่อีร์คุตส์ เราก็ได้ลงมาแตะเมืองอีร์คุตส์ อุณหภูมิตอนนั้น คือ -17 C
ก่อนเครื่องบินลงจอด ทุกคนบนเครื่องบิน ต่างก็พากันเปิดช่องเก็บของหยิบกระเป๋า เอาเสื้อกันหนาวออกมาใส่แบบจัดเต็มโดยพร้อมเพรียงกัน เพราะเครื่องบินไม่ได้เข้าจอดที่งวงจอด แต่จอดที่ลานกว้างเราต้องลงเครื่องและเดินไปขึ้นรถมินิบัสอีกที แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ และเมื่อรถมาจอดส่ง ก็เข้าในอาคารที่ปรับอุณหภูมิไว้ค่อนข้างสูง ชุดที่จัดเต็มชักจะมีเหงื่อซึมจนต้องปลดออกบ้าง
ใช้เวลาไม่นานก็ผ่าน ตม. และรับกระเป๋าออกมาด้านนอก คุณเกา หน.คณะ ได้ล่วงหน้าเดินทางมาก่อน นำรถตู้มารับพวกเรา พาไป Hotel Irkut ( พิกัด https://goo.gl/maps/PvxhB5Rq2Nz ) ถึง รร.แล้ว เช็คอินเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายเข้าห้อง แต่คุณเกายังไม่ได้ทานอาหาร เราก็เลยขอตามคุณเกาออกมาเดินด้านนอกกันสักนิด ลิ้มรสความหนาว -17 ว่าจะเป็นเยี่ยงไร
ทานอาหารเสร็จแล้ว ก็ขอเดินชมไฟที่สวนสาธารณะ Kirov Square ที่อยู่ตรงข้ามถนนนี่เอง
วันที่สอง วันนี้โปรแกรมคือไปช้อปปิ้งเครื่องกันหนาวเพิ่มเติม เพราะอากาศหนาวมากๆ วันนี้ลดลงถึง -21 C นอกจากเสื้อผ้าที่ใส่กันคนละหลายๆชั้นแล้ว ถุงร้อนถุงอุ่นจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการป้องกันความหนาว
หลังอาหารเช้าร้านอาหารใกล้ๆกับที่พัก เราก็ออกเดินทางโดยรถเมลล์ที่ผ่านหน้าที่พัก สาย3 มา 4 ป้าย เพื่อมาลงป้ายที่ Komsomoll (https://goo.gl/maps/38NhHx7GrC82) ค่ารถเมลล์คนละ 15 รูเบิ้ล ลงรถแล้ว เดินกันมาอีกพักใหญ่ ระหว่างทางเราก็เก็บภาพข้างทางไปด้วย
ในห้างKomsomoll เราลงมาชั้นใต้ดิน มาที่ร้าน Спортмастер (https://goo.gl/maps/rtHnLB9qUsQ2) ที่เหมือน supersport บ้านเรา จะมีเสื้อกันหนาวแบรนด์ต่างๆ ลดราคากันสุดเหวี่ยง ที่ทำให้พวกเราเพลิดเพลินจนลืมหิว ก็พวกยี่ห้อ Columbia และ Merrell ลดราคากว่า 50% และค่าเงินของรัสเซีย น้อยกว่าเงินบาทบ้านเรา 1 รูเบิ้ล = .073 บาท จึงเหมือนได้ลด 2 ชั้น เสื้อกันหนาวโคลัมเบียบ้านเราตัวละเกือบหมื่น ที่นี่ลดราคาแล้วเทียบเงินบาทบ้านเรา ราคาไม่ถึง 3,500 บาท ดังนั้น ทั้งเสื้อกันหนาวขนเป็ด ทั้งรองเท้า จึงโดนกระหน่ำซื้อกันไม่ยั้ง แม้วันสุดท้ายเราก็ยังไม่วายกลับมาช้อปส่งท้ายกันอีก
สิ่งที่ไม่ควรขาด คือ ถุงร้อน ถุงอุ่นทั้งหลาย ตัวช่วยที่แสนวิเศษ สำหรับป้องกันความหนาว โดยเฉพาะบริเวณมือและเท้า ไม่ควรปล่อยให้หนาวจนชา ให้ใส่ถุงอุ่นไว้จะช่วยให้อุ่นสบายตลอดวัน ถุงนึงจะให้ความอุ่นได้นานถึง 6-8 ชม.
และที่ทำให้ทริปนี้สะดวกสบายสิ่งหนึ่ง คือ ซิมเน็ตราคาถูกที่นี่ ราคาเป็นเงินไทยน่าจะ ร้อยกว่าบาท เล่นได้กระหน่ำตั้งแต่วันแรกจนกลับ แรงดีไม่มีตก ขอแนะนำให้มาซื้อซิมเน็ตที่นี่ใช้ พวกเราในคณะหลายคนซื้อมาใช้กัน แต่เราซื้อ Travel sim ของ ทรูราคา 890 มาแล้ว ก็ไช้ได้ดีไม่แพ้กัน แต่ราคาเมืองไทยแพงกว่าที่นี่มากมาย
ช่วงบ่ายเรามาเดินที่ตลาดกลาง https://goo.gl/maps/ERMGcixrZTC2 จุดแลนด์มาร์คจุดนึง จุดนี้จะเป็นจุดชุมทางรถ และตลาดปลา อาหารสด รวมถึงของกิน ของใช้ มากมาย อาหารทะเลสดๆวางขายโดยไม่ต้องพึงตู้เย็น เพราะอากาศข้างนอกเย็นกว่าช่องแช่แข็ง ปลาสดๆแข็งปั๊ง แต่ผลไม้ถ้าซื้อแล้วเข้าบ้านต้องรีบรับประทาน เพราะเมื่อคลายเย็นจะเละอย่างรวดเร็ว มันก็ได้อย่างเสียอย่าง
จากตลาดกลางเรานั่งรถเมลล์สาย 80 กลับมายังที่พัก แวะทานมื้อเย็นร้านอาหารที่ใกล้โรงแรมเช่นเดิม
วันที่สาม วันนี้เราจะเดินชมเมืองกันจริงๆจังๆซะที จุดแรกคือ รอบๆโรงแรม เราเดินออกมาเริ่มต้นที่ Kirov Square เดินไปทางเหนือ เพื่อไปยัง Savior Church เป็นโบสถ์หินที่เก่าแก่ที่สุดในไซบีเรียตะวันออก , The Roman Catholic Church , Bust of General Beloborodov , Sobor Bogoyavleniya , Moskovskiye Vorota ซึ่งกระจุกตัวอยู่ใกล้ๆกันในระยะที่เดินไปถึง
แต่วันนี้หนาวสุดใจจริงๆ เพราะอุณหภูมิลดฮวบลงถึง -26 C เราเดินไปได้ไม่ไกล ต้องรีบเดินกลับโรงแรม มาเติมเสื้อและถุงอุ่นกันอีกครั้งก่อนออกไปเดินโต้ลมหนาวกันใหม่
Kirov square ที่นี่ถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางของเมือง และยังเป็นที่ตั้งของหน่วยงานบริหารของเมือง, มหาวิทยาลัยภาษา , รวมไปถึงอาคารสำคัญต่างๆ ในฤดูหนาวที่นี่จะมีการจัดไฟประดับต้นคริสมาสต์ยักษ์ และ ไม้ลื่นน้ำแข็งให้เด็กและผู้ใหญ่มาเล่นกันด้วย
และแน่นอน กระเหรี่ยงเมืองร้อนอย่างพวกเรา ย่อมตื่นตากับหิมะที่ทับถมข้างทาง ลืมหนาวเลย
และโชคดี เราได้มีโอกาสขึ้นไปถ่ายภาพมุมสูงบนหอระฆังของโบสถ์ Savior Church
อนุสาวรีย์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 (https://goo.gl/maps/GuM6HTURh1G2) (ชาวรัสเซียเรียกชื่อว่า ซาช่า) ผู้ริเริ่มการสร้างทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมแม่น้ำอังการ่า ซึ่งเป็นแม่น้ำสายเดียวที่ไหลออกจากทะเลสาบไบคาล (แม่น้ำอีกกว่า 300 สายไหลลงทะเลสาบไบคาล)
รั้วริมแม่น้ำเต็มไปด้วยแม่กุญแจล็อคอยู่ตามรั้วเรียงเป็นแถว นี่อาจเป็นวัฒนธรรมสมัยใหม่ ที่คู่รักเอาโซ่หรือกุญแจมาคล้องล็อคไว้ที่ราวสะพาน และโยนลูกกุญแจทิ้งลงไปในแม่น้ำที่ไหลแรงและเย็นยะเยือก เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความรักอันเป็นนิรันดร์
และอีกที่ ที่ไม่ควรพลาดคือโบสถ์ Kazan church (https://goo.gl/maps/HMNmxicTrYx) การก่อสร้างโบสถ์คาซาน (หรือที่เรียกว่าโบสถ์ของพระแม่มารีย์แห่งคาซาน) เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2428 การก่อสร้างใช้เวลาเจ็ดปี ด้วยการตกแต่งสไตล์ Byzantine โบสถ์ Kazan ดูเหมือนหอนางฟ้า และมีชื่อเสียงว่าระฆังโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดของ Irkutsk พื้นที่ภายในตกแต่งด้วยภาพวาดบนเฟรสโก iconostasis รูปปั้นต่างๆภายในถูกแกะสลักหินแกรนิตอินเดียโดยช่างฝีมือจีน
พรุ่งนี้ พวกเราจะเดินทางไปยัง
No comments:
Post a Comment
ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......