ตอน3 #หลวงพระบาง (หยุดเวลา) 20-22/122565
ย้อนดูตอนแรก #เวียงจันทน์ ( 18/12/2565)
http://somersetmghm.blogspot.com/2023/01/1.html
ตอน2 # วังเวียง (ตื่นตารถไฟลาว) (19/12/2565)
http://somersetmghm.blogspot.com/2023/02/2.html
ตอนนี้เป็นตอนสุดท้าย หลังจากเราเริ่มต้นทริปจากเวียงจันทน์ ดำเนินมาจนผ่าน วังเวียง และ จุดหมายสุดท้ายของทริปคือ หลวงพระบาง
เช้านี้ที่วังเวียง ตื่นมาด้วยความสดชื่น ออกมานั่งชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น ที่ระเบียงหน้าห้องพัก 6โมงเช้าแต่ยังมืดอยู่
พอเริ่มสว่างๆ หมอกก็ไหลเข้ามายังทิวเขาที่เห็นอยู่ข้างหน้า เป็นเช้าที่ธรรมชาติมากๆ
จนพระอาทิตย์ขึ้นสูง เราก็มาอาบน้ำเก็บของเพื่อเตรียมเดินทางต่อไปหลวงพระบาง ยังพอมีเวลาอีกเล็กน้อย ขอออกมาเดินชมตลาดเช้าหน้าที่พักสักนิด เป็นตลาดเล็กๆชาวบ้านเอาของมาตั้งวางขายริมทาง ตลาดเช้าคนไม่เยอะ (ไม่เหมือนครั้งก่อน ก่อนโควิท นักท่องเที่ยวเยอะมาก ตลาดคนจะคึกคักกว่านี้ ส่วนใหญ่คงไปเดินตลาดใหญ่กัน )
ทานอาหารเช้าที่โรงแรมแล้ว เราก็เรียกรถ 2 แถว เจ้าเดิมที่เราใช้บริการเมื่อวาน ให้ไปส่งที่สถานีรถไฟวังเวียง ตัวสถานีอยู่นอกเมืองไม่ไกลนัก วิวสุดสวยยิ่งนัก
หลังจากยื่นตั๋วและพาสปอร์ตให้ จนท.ตรวจแล้ว ก็เข้ามานั่งรอในสถานี
เราจองเที่ยวรถด่วนพิเศษไม่ทัน รอบนี้เป็นรถเร็ว ก็ทำใจว่า เอาว่ะนั่งรถหวานเย็นแวะมันทุกสถานีดู เราไม่มีโปรแกรมรีบร้อนอะไร แต่พอเอาเข้าจริง รถจอดแค่ 1 สถานีเอง เวลาก็ไม่ต่างจากรถด่วนพิเศษนัก แต่ราคาต่างกันค่อนข้างมาก
หมายใจว่าจะถ่ายภาพข้างทาง เพราะวิวจากวังเวียงไปหลวงพระบาง สวยมาก แต่เอาเข้าจริง รถไฟวิ่งเข้าอุโมงค์ที่เจาะทะลุภูเขา ลูกแล้วลูกเล่า ออกจากเขาลูกนิดพอให้เห็นแสงตะวันสักนิด ก็เข้าอุโมงค์ต่อ แทบไม่ได้เห็นวิวเลย แต่รถไฟทำเวลาดีมาก ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงหลวงพระบาง ถ้านั่งรถยนต์ จะใช้เวลาเดินทางเกือบทั้งวัน และเส้นทางถนนคดเคี้ยวมากชวนอ้วกเลย
รถจอดที่สถานีกาสี สักพัก ก็ออกตรงเข้าหลวงพระบาง ไม่ได้แวะจอดที่ไหนอีกเลย ดูวิวข้างทางก็เสียดายว่า ทางรถไฟพาดผ่านขนาดนี้ ถ้ามีสถานีเพิ่มรายทาง น่าจะช่วยพัฒนาความเจริญ และเพิ่มจุดท่องเที่ยวในลาวได้อีกเยอะเลย แต่ก็ดีธรรมชาติสวยๆอย่างนี้จะได้อยู่ไปอีกนานก่อนคนจะเข้าไปทำลายหมด
ในที่สุดเราก็เดินทางถึง สถานีหลวงพระบาง รูปทรงสถานีทำเหมือนเวียงจันทน์และวังเวียง จะขอแวะเข้าห้องน้ำก็ไม่ได้ จนท.ห้ามเข้าในสถานี ต้อนให้ออกด้านข้าง
ออกมาด้านนอกจะมีคิวรถตู้ เพื่อรับส่งคนเข้าไปในหลวงพระบาง
ที่พักเราเลือกพักที่ รุ่งวิไลโฮเต็ล (Houngvilai Hotel) หลงอ่านเป็นหงวิไลมาตั้งนาน ลืมไปว่าคนลาวออกเสียงตัว "ร" เป็น "ฮ" เหมือนคนเหนือ
เราเลือกที่นี่เพราะเป็นโรงแรมใหม่ ราคาไม่แรง มีอาหารเช้าที่แสนอร่อยให้ด้วย ที่สำคัญที่ตั้งโรงแรม อยู่ปากทางตลาดเช้า และ ตลาดกลางคืน สะดวกมาก
โรงแรมสวย ห้องพักกว้างขวางใหญ่มาก แทบอยากนอนกลิ้งที่นี่ทั้งวัน ฉะนั้น 2 วันที่หลวงพระบาง เราจะออกเดินเที่ยวในหลวงพระบางตอนเช้าตรู่ พอเที่ยงๆอากาศเริ่มร้อนแดดแรง ก็จะกลับมานอนพักที่ห้อง และบ่ายๆเย็นๆค่อยออกไปใหม่
หลังจากวางกระเป๋าเดินทางแล้ว ก็ออกมาเดินลงมาที่แม่น้ำโขง หาเรือที่จะพาไปถ้ำติ่ง ปรากฎว่าเรือมีแต่นักท่องเที่ยวที่จะไปน้อยมาก คนเรือก็คงอยากได้เงินเท่าเดิม กรรมจึงมาตกที่เรา จะต้องจ่ายค่าเรือแบบเหมาลำ ราคา 3 แสนกีบ หรือเกือบ 3 พันบาท เราไปกันแค่ 3 คน ต้องเหมาเรือสำหรับคน 20 กว่าคน มันเกินไปจริงๆ เลยขอบายไม่ไปก็ได้
เปลี่ยนแผนเป็นเดินชมเมืองแทน จากท่าเรือเราวางเส้นทางเดินต่อไปยัง วัดเชียงทอง ระยะทางประมาณ 1.1 กม. ซึ่งไม่เกินกำลังขาที่พาไป เดินชมเมืองแวะถ่ายภาพกันไป
ระหว่างทางเราแวะวัดข้างทาง Wat Xieng Mouane
ด้านหลังวัดเป็นศูนย์วัฒนธรรม แวะกันสักนิด
ออกเดินกันต่อ ตอนนี้เที่ยงกว่าๆเกือบบ่ายโมงแล้ว แดดร้อนแรงมาก อากาศที่หนาวเย็นตอนเช้าเริ่มร้อนจนอยากถอดเสื้อกันหนาวออก แต่ใส่ไว้ก่อนดีกว่ากันแดดไม่ให้ผิวไหม้ดีกว่า
ในที่สุดก็เดินถึงวัดเชียงทอง วัดที่นับได้ว่าเป็นอัญมณีแห่งล้านช้าง เนื่องจากรูปแบบสถาปัตยกรรม รวมทั้งงานจิตรกรรมที่สุดแสนประณีตและเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะแบบล้านช้าง พระวิหารที่งดงามมีหลังคาซ้อนกันถึง 3 ชั้น ลวดลายหน้าบันวิหาร ประติมากรรมซุ้มประตูทางเข้า ถือเป็นภาพความสวยงามที่ประเมินค่าไม่ได้ เมื่อเข้าสู่ภายในวิหารก็จะพบกับพระประธานองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ภายใน ท่ามกลางลวดลายแสนประณีตทั่วทั้งผนังภายใน นอกจากนี้หอไตรของวัดแห่งนี้ยังมีความโดดเด่นด้วยลวดลายฝาผนังที่ประดับกระจกเป็นเรื่องราววิถีชีวิตที่แฝงคติธรรมะ และวัดเชียงทองแห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่คู่เมืองหลวงพระบาง นั่นก็คือ พระม่านอีกด้วย วัดเชียงทองจึงถือว่าเป็นสถานที่ต้องห้ามพลาดกันเลย วัดนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น "อัญมณีของศิลปะล้านช้าง"
จากซุ้มประตูทางเข้า เราจะเจอวิหารที่เก็บราชรถ สำหรับใช้แห่ ไม่มั่นใจว่าใช้แห่พระ หรือแห่พระบรมศพของกษัตริย์
สิม หรือ อุโบสถของวัดเชียงทองถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นสิมที่สะท้อนศิลปะล้านช้างออกมาได้อย่างชัดเจน เห็นได้จาก หลังคาแอ่นโค้ง ลาดต่ำลงมาซ้อนกันอยู่สามชั้น ส่วนกลางของหลังคามีเครื่องยอดสีทองชาวลาวเรียกว่าช่อฟ้า ประกอบด้วย 17 ช่อ แสดงให้เห็นว่าเป็นวัดที่พระมหากษัตริย์สร้าง เพราะหากเป็นวัดสามัญทั่วไปแล้วจะมีช่อฟ้าเพียง 1-7 ช่อเท่านั้น ส่วนหน้าบัน หรือที่ชาวลาวเรียกว่า โหง่ ประดับตกแต่งด้วยเศียรนาคและลวดลายเกี่ยวกับศาสนาพุทธ
ภายในสิมเป็นที่ประดิษฐาน พระประธาน หรือ พระองค์หลวง รวมถึง พระบางจำลอง ที่ประดิษฐานอยู่ด้านข้าง หลังจากที่กราบไหว้องค์พระเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ห้ามพลาดไปชมผนังด้านหลังของพระอุโบสถ ซึ่งเป็นงานกระจกสีที่ประดับตกแต่งจนกลายเป็นต้นทองขนาดใหญ่ และรูปสัตว์ในวรรคดี สื่อถึงตำนานการสร้างเมืองหลวงพระบางเมื่อกาลก่อน ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และเยี่ยมชมเป็นอย่างมาก
จุดที่ห้ามพลาด ถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของหลวงพระบาง คือ หอพระพุทธไสยาสน์ หรือวิหารแดง (Red Chapel) ผนังด้านนอกทาพื้นเป็นสีชมพูกุหลาบ และติดกระจกสีชิ้นเล็กๆ เล่าเรื่องราวเพื่อสืบทอดวรรณกรรมชิ้นเอกนิทานพื้นบ้านของลาว เรื่องท้าวเสียวสวาด เป็นเอกลักษณ์ เป็นอีกมุมสวยที่เห็นแล้วจำได้ทันทีเลยว่า ที่นี่คือ “หลวงพระบาง”
ออกจากวัดเชียงทอง เราเดินตรงมายังถนนเลียบ แม่น้ำคาน เพื่อวกกลับที่พัก แวะร้านกาแฟริมทางดื่มน้ำ พักเหนื่อยกันสักนิด ก่อนเดินต่อ เราเดินผ่านสะพานไม่ไผ่ Bamboo Bridge - Nam Khan river (Luang Prabang) ที่จะเปิดให้เดินผ่านเฉพาะช่วงที่น้ำไม่เยอะเช่น หน้าแล้ง ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านอาหาร ถ้าจะเดินข้ามต้องเสียเงินค่าผ่านทาง ดูแล้วไม่น่าคุ้ม เราเลยแค่ถ่ายรูปด้านนอกเป็นที่ระลึกเท่านั้น
เราเดินวกเข้าถนนเส้นกลาง ที่เป็นที่ตั้งตลาดมืด หรือ ตลาดกลางคืน พ่อค้าแม่ค้าเริ่มนำสินค้ามาจัดวางกันแล้ว แต่พึงแค่บ่ายสองโมงกว่าๆ ยังร้อนมากๆ ขอกลับมาพักที่ที่พักก่อน เย็นๆค่อยออกมาเดินดีกว่า
แดดร่มลมตก เราก็ออกมาเดินตลาดกลางคืน หาซื้อของที่ระลึกกัน แต่ราคาแพงและเหมือนๆกันไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ นอกจากงานกระเป๋าผ้าทำมือ ที่พอหาซื้อไปเป็นของฝากได้ เดินกันสักพัก ก็มาหาของกินและกลับที่พัก
มาหลวงพระบาง ไฮไลท์นึงที่ต้องทำคือ ตักบาตรตอนเช้า เช้านี้รีบตื่นก่อนพระอาทิตย์ ยังพอมีเวลาเดินชมตลาดเช้า จากโรงแรมเลี้ยวขวาพ้นกำแพงโรงแรมก็เป็นทางเข้าตลาดเช้า พ่อค้าแม่ค้าหลายร้านพึงเริ่มตั้งร้านกัน แวะเก็บแสงไปสวยๆไปด้วย
ตัดออกมาริมถนนเส้นกลาง หน้าวัด Wat May Souvannapoumaram เราแวะซื้อข้าวเหนียวในตลาดมาแล้ว ที่หน้าวัดจะมีคนมาปูเสื่อและขายข้าวเหนียวนึ่งใส่บาตร ให้กับนักท่องเที่ยวที่มากันแต่ตัว
นั่งรอสักพัก พระก็เดินชักแถวมา ที่นี่เค้าจะใส่บาตรด้วยข้าวเหนียวเท่านั้น ส่วนอาหารคาวหวาน ไปนำไปถวายพระตอนเพลที่วัดอีกที
ใส่บาตรเสร็จ เดินกลับทางเดิมเข้าทางตลาด ตลาดเริ่มคึกคักแล้ว ทั้งคนขายและคนซื้อ แวะดูกระเป๋าผ้าปักทำมือ ที่เมื่อคืนซื้อที่ตลาดก่ลางคืนแบบภูมิใจที่ต่อราคาได้ถูก ปรากฎว่าตลาดเช้าราคาที่ยังไม่ได้ต่อ กลับถูกว่าที่เราต่อกันแทบตายตอนกลางคืน ด้วยความแค้นใจ เลยต้องควักกระเป๋าซื้อเพิ่มอีก
เช้านี้ เราวางแผนไปเที่ยวน้ำตกกวางสี และเส้นทางแวะรายทาง เราว่าจ้างรถสองแถวที่จอดหน้าโรงแรม ปากทางเข้าตลาดกลางคืน ที่เล็งเอาไว้เมื่อวาน ต่อรองราคากันพอหอมปากหอมคอ คนลาวก็น่ารัก บอกราคามาค่อนข้างแพง พอเราบ่นว่าแพง ก็รีบลดราคาให้ทันที จนเราพอใจกันทั้ง 2 ฝ่าย ก็ขึ้นรถ โปรแกรมเหมาครึ่งวัน คนขับจะพาไปน้ำตกกวางสี สวนผีเสื้อ และน้ำตกเล็กๆอีกแห่ง แล้วค่อยพากลับมาส่งที่เดิม
เราไปถึงน้ำตกกวางสีเป็นคณะแรกๆ คนยังไม่ค่อยมี ทำให้มีมุมถ่ายรูปได้จุใจ น้ำตกนี้ได้รับการดูแลและพัฒนาทางเดินดีกว่าเมื่อก่อนมาก จะมีลานจอดรถแยกอยู่ด้านนอก และมีรถรับส่งไปน้ำตก การบริหารจัดการทำได้ดีทีเดียว
เดินกันพอเหนื่อยก็ถึงน้ำตก จากปากทางเข้าเมื่อผ่านเข้ามาแล้ว จะมีทางเดิน 2 ทาง ทางแรกเป็นถนนลาดยางเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆจะถึงน้ำตก และอีกทางเป็นทางเลียบน้ำตกชั้นล่าง เดินย้อนขึ้นไปชั้นบนสุด เราเลือกเดินถนนลาดยางขึ้นไปน้ำตกก่อนเลย ขากลับค่อยเดินกลับเลียบน้ำตกชั้นบน ลงมาชั้นล่าง
มาถึงน้ำตกมีคนแค่ไม่กี่คน เลยไม่ต้องแย่งมุมกับใคร แสงยามเช้านุ่มสวยมาก
น้ำตกกวางสี น้ำตกหินปูนที่สวยมหัศจรรย์แห่งหลวงพระบาง ได้รับยกย่องว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง ถือเป็นอีกจุดหมายปลายทางที่เมื่อมาหลวงพระบางแล้วต้องแวะเวียนเข้ามาชมความสวยงามของน้ำสีฟ้าเทอคว๊อยซ์ ซึ่งเกิดจากแร่ธาตุที่อยู่บริเวณน้ำตก และน้ำตกที่มีความสูงซ้อนกันถึง 4 ชั้น ไฮไลท์ก็คือภาพของสายน้ำที่ไหลรินลงมาจากหน้าผาเห็นเป็นเส้นสายสีขาว
ถ่ายกันจนเบื่อ จึงเริ่มเดินย้อนกลับเลียบน้ำตกลงมา มีจุดแวะให้ถ่ายรูปตลอดทาง
เดินมาจนมาถึงประตูทางเข้าบรรจบกับทางถนนลาดยาง ออกมาด้านนอกเดินกลับมาขึ้นรถตรงจุดที่ลงรถ รถจะพามาส่งที่ลานจอดรถ จุดที่เราซื้อตั๋วเข้า
จากน้ำตกกวางสี คนขับพาไปอีกน้ำตกนึงใกล้ๆกันชื่อ Khoun Moung Keo Waterfall เป็นน้ำตกเล็กๆ ที่ถูกจับจองโดยร้านอาหาร มีวางโต๊ะอาหารชิดติดริมน้ำตกเลย แต่เค้าก็ไม่ได้ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไป และตอนที่ไปร้านก็คงยังไม่เปิด มีแต่โต๊ะวาง แต่ไม่มีลูกค้า ก็เลยถ่ายภาพกับโต๊ะอาหารซะเลย
ออกจากน้ำตก คนขับถามว่าเราจะแวะที่ไหนอีกไม๊ ดูในแผนแล้ว ฟาร์มผีเสื้อแดดแรงร้อนขนาดนี้ ผีเสื้อคงหลบนอนกันหมดแล้ว ฟาร์มควายผ่านมาก็ดูร้างๆ เลยขอจบโปรแกรมให้คนขับพากลับมาส่ง
กลับมาพักที่โรงแรม หลบแดดกันซักพัก จนบ่ายสามโมง ก็ออกมาเพื่อไปขึ้นพระธาตุภูสี แดดยังแรงมาก เลยแวะ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง ซึ่งเป็นพระราชวังหลวงของเจ้ามหาชีวิตก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยอาคารหลักที่เป็นหอพิพิธภัณฑ์เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นที่ผสมผสานระหว่างรูปแบบสถาปัตยกรรมล้านช้างและสถาปัตยกรรมแบบยุโรป นอกจากนี้ยังมีหอพระบางที่มีรูปแบบเป็นวิหารสุดวิจิตร ซึ่งภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระบางพุทธลาวัล พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองหลวงพระบาง และโรงละครพระลักษณ์ – พระราม ที่เป็นสถานที่ไว้จัดแสดงโขนอีกด้วย น่าเสียดายที่เค้าห้ามถ่ายรูป ได้แต่เดิมชมเก็บภาพไว้ในใจแทน
ออกจากพิพิธภัณฑ์ เดินข้ามฝากมายังพระธาตุพูสี
พระธาตุพูสี ตั้งอยู่บนยอดเขาที่มีความสูงราว 150 เมตร ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงพระบาง นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นบันได 328 ขั้นเพื่อชมความสวยงามของพระธาตุ และชมวิวที่สวยๆ ของหลวงพระบางได้แบบ 360 องศาจากด้านบน ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะมาชมพระธาตุ และวิวสวยที่สุดก็คือ ช่วงที่พระอาทิตย์ตก เพราะแสงแดดจะสาดส่องมาที่พระธาตุเป็นสีทองสวยอร่าม และยังได้ชมวิวพระอาทิตย์ตกในหลวงพระบางอีกด้วย
บันไดทางขึ้นแค่ 328 ขั้น แต่ค่อนข้างชันทำให้ตกยกเท้าสูง เหนื่อยจนต้องพักกันเป็นระยะๆ เราขึ้นไปถึงมีนักท่องเที่ยวมาจับจองมุมนั่งชมพระอาทิตย์ตกกันเนืองแน่น
ลงจากพระธาตุพูสี ก็เจอตลาดกลางคืนตั้งขายพอดี คราวนี้รู้ทันไม่ได้กินเงินเราแล้ว เดินผ่านตลาดออกมา หาอาหารทานกันตรงปากทางเข้าตลาดกลางคืน
พรุ่งนี้เราก็จะต้องกลับกันแล้ว มีเวลาเก็บเล็กเก็บน้อยในตลาดเช้า ซื้อของฝากได้อีกหน่อย แล้วก็เดินทางไปสนามบินเพื่อบินกลับกรุงเทพฯ
เป็นอันจบทริป เวียงจันทน์-วังเวียง-พลวงพระบาง แต่เพียงเท่านี้
No comments:
Post a Comment
ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......