ติดตามตอนแรก Istanbul ได้ที่นี่
http://somersetmghm.blogspot.com/2020/01/turkey-2019-istanbul.html
ติดตามตอน 2 เมืองโบราณ Ephesus ได้ที่นี่
https://somersetmghm.blogspot.com/2020/01/turkey-2019-ephesus.html
วันนี้เราจะเดินทางไป Pamukkale
Pamukkale เป็นภาษาตุรกี หมายถึง ปราสาทปุยฝ้าย ตั้งชื่อตามลักษณะภูมิศาสตร์ ซึ่งเกิดจากปรากฏการณ์ที่ตะกอนของหินปูนทำปฏิกิริยากับอากาศ จับตัวแข็งกลายเป็นแอ่ง และมีธารน้ำแร่ใต้ดินน้ำที่มีอุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส ประกอบด้วยกินปูนและเกลือแร่ ไหลเอ่อล้นผุดขึ้นมาบนพื้นผิว รวมเป็นแอ่งน้ำหินปูนที่ลดหลั่นกัน กว้าง 300 เมตร ยาวกว่า 3 กิโลเมตร ก่อนไหลเป็นน้ำตกจากที่สูง100 เมตรลงสู่พื้น สายน้ำที่ถูกอากาศเย็นตัวลงทำให้แคลเซียมตกตะกอน เกิดเป็นอ่างแคลเซียมธรรมชาติ ขนาดมหึมา เรียกว่า ปามุกคาเล ในยุคโรมันสถานที่แห่งนี้เป็นเมืองตากอากาศที่สวยงาม นอกจากนี้บริเวณปามุกคาเร่ ยังเป็นที่ตั้งของนครโบราณ เฮียราโปลิส ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ในปี ค.ศ.1988 พร้อมกันกับปามุคคาเล่
หลังจากเช็คอินเก็บข้าวของเข้าที่พักTripolis Hotel เราก็ออกเดินทางขึ้นไปยัง Travertines of Pamukkale (thermal pools) เดินเข้าไปลึกพอสมควร เราก็ได้ประสบพบ Pamukkale ตัวจริงเสียงจริง ก่อนเดินทางมา เราเห็นภาพตามเน็ตและตามโพสที่คนเคยไปเค้าโพสกัน ในความรู้สึกคิดว่า Pamukkale นี่คงกว้างใหญ่และช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน ธรรมชาติช่างรังสรรค์พื้นแผ่นดินให้งดงามราวสวรรค์ คำเรียกปราสาทปุยฝ้ายไม่เกินความจริงเลย
แต่พอเห็นด้วยตา คุณเกาหัวหน้าคณะ พาพวกเราเดินจากลานจอดรถมาจนถึง ศาลาจุดแรกที่เห็น ปามุกคาเร่ เต็มสองตา สวยงามจริงตามคำร่ำลือ แต่เรามาช่วงต้นหนาว ฝนขาดช่วง น้ำร้อนใต้ดินก็ไหลน้อย ตามแอ่งต่างๆจึงขาวโพลนแห้งสนิท ไม่มีน้ำใสสะท้อนแสงสวยๆให้เห็น ยิ่งเป็นช่วงบ่ายๆคอนทราสต์จัด ก็ได้ภาพอย่างที่เห็น เรามองภาพตรงหน้าเลยไปจุดสุด ทิวไม้ข้างหน้า ในใจคิดว่านี่คงแค่ต้นทาง เดินเลยดงไม้ข้างหน้าคงเห็นสวยกว่านี้
แต่หลังจากเดินไปจนถึงดงไม้ข้างหน้า จึงประจักษ์ชัดว่าที่เราเห็นแต่แรก คือทั้งหมดของ ปามุกคาเร่ อ้าวแค่นี้เองรึ ผิดหวังเล็กๆ นักท่องเที่ยวก็แออัดอยู่ตรงแอ่งที่มีน้ำร้อนใต้ดินไหลออกมา
และวิวสวยๆ
เหน็ดเหนื่อยกันมาหลายวัน คืนนี้ขอนอนหัวค่ำ ฟื้นฟูเรียกพลังชาร์ตแบตให้เต็มซะหน่อย พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางต่อไปยัง Cappadocia ระยะทาง 790 กม. ใช้เวลาเกือบ 10 ชม. ก่อนขึ้นรถ เก็บภาพปามุกคาเร่กับวิวบอลลูนซะนิด
เช้าวันที่6 ของทริป หรือวันที่ 17 ตค. หลังจากทานอาหารที่โรงแรม เราก็ออกเดินทางมุ่งหน้า คัปปโดเกีย แต่ออกมาไม่กี่ กม. เจอบึงใหญ่ มีเป็ดและห่านฝูงใหญ่ ขอแวะกันสักนิด
หอมปากหอมคอ ก็เดินทางต่อ หนทางยังอีกยาวไกล เราแวะทานอาหารกลางวันที่อร่อยที่สุดกว่าทุกมื้อในตุรกี ที่ร้าน Tarihi Konya Köşkü ในเมือง Konya ครึ่งทางระหว่าง ปามุกคาเร่ กับ คัปปโดเกีย
อาหารแนะนำคือ superb lamb kebab แบบตุรกี อร่อยล้ำในสามโลก
Sultanhanı Caravanserai สร้างขึ้นในปี 1229 โดยสถาปนิกชาวซีเรียมูฮัมหมัดอิบันคาลวานอัล - ดิชชชี เป็นที่พักสำหรับกองคาราวานบนเส้นทางสายไหม (silk road) ในสมัยก่อน ลักษณะคล้ายโรงแรมในสมัยโบราณ มีการก่อสร้างในรูปแบบคล้ายคลึงกัน และเป็นยังเป็นโบราณสถานที่สำคัญที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักรโบราณในพื้นที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี คาราวานแห่งนี้ยังกลายเป็นอนุสาวรีย์ที่ใหญ่ที่สุดในตุรกี เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรม Anatolian Seljuk
หลังจากรอให้ลุงเน็กเดค พักจนหายเหนื่อย เราก็ออกเดินทางกันต่อจนถึงเมือง Cappadocia เกือบสองทุ่ม เราเลือกเข้าพักที่ Goreme House และตามแผนเราจะขึ้นบอลลูนชมเมืองตอนเช้ากัน ทางโรงแรมได้แจ้งว่า อากาศไม่ดีบอลลูนงดไม่ขึ้นในวันพรุ่งนี้ แห้วกันตามระเบียบ แต่ไม่เป็นไร เรายังพักที่นี่อีกหลายคืน ลองลุ้นกันวันพรุ่งนี้อีกที สำหรับวันนี้เหนื่อยกับการเดินทางมาทั้งวัน พักดีกว่า
ติดตาม Cappadocia ได้ในตอนต่อไปที่นี่
https://somersetmghm.blogspot.com/2020/01/turkey-2019-cappadocia.html
No comments:
Post a Comment
ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......