30 Nov - 10 Dec 2023
เกาหลี เคยไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ตั้งแต่คลองชองเกซอง พึ่งเปิดใช้ใหม่ๆ ถนนหนทางยังไม่พัฒนาเหมือนเดี๋ยวนี้ การจะไปแหล่งท่องเที่ยวแต่ละแห่ง นั่งรถบัสนานมาก ได้เที่ยวแป๊บเดียว ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนรถและ ร้านขายของที่ไกด์พาไป อาหารการกินก็ไม่อร่อย กิมจิตอนนั้นกินไม่เป็น ผักอะไรว่ะเหม็นๆ กลับมาก็เลยไม่ค่อยประทับใจ ใครชวนก็ส่ายหัวไม่รู้จะไปดูอะไร
แต่หลังโควิท ประเทศทางฝั่งยุโรปไม่น่าไปแล้ว โจรเยอะ ไปทีต้องคอยระวังตัวกันจนหมดสนุก เลยเปลี่ยนเป้าหมายเที่ยวในเอเชียดีกว่า จะไปจีนเค้าก็ยังไม่เปิดให้เข้าไปเต็มที่นัก เลยลองกลับมาเลือกเกาหลี
แต่ก็อีกนะ ข่าวว่า ตม. โหดสัด เข้าประเทศยากเย็น ผิดฝาผิดตัว พ่อส่งกลับประเทศท่าเดียว แต่เราก็พิจารณาตัวเองล่ะว่า เราไปมาก็หลายประเทศ ไม่เคยต้องมีปัญหากับ ตม. ขนาดญี่ปุ่นไปก็หลายครั้งหลายหน ก็ไม่เคยมีปัญหา และอายุปูนนี้แล้ว ตม. เค้าคงไม่คิดว่าจะเข้ามาเป็นผีน้อยหรอกหนา
ว่าแล้วเราก็ส่องหาตั๋วเครื่องบินเลย อันเนื่องมาจากโควิท ทำให้แพลนเที่ยวของเราโดนยกเลิกหลายแพลน มีเงินคืนค่าตั๋วของแอร์เอเชีย อยู่ในระบบเยอะ และต้องรีบใช้ก่อนหมดอายุ ทริปนี้ไปกันในหมู่พี่น้อง 5 คน ใช้เครดิตแอคเคาท์จนหมดและเพิ่มเงินอีกไม่มากนัก
ได้ตั๋วแล้ว ค่อยมาศึกษาดูว่าเราต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง
- สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ลงทะเบียน K-ETA ( คือ ระบบอนุมัติการเดินทางออนไลน์สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการเข้าประเทศเกาหลีใต้โดยไม่ต้องขอวีซ่า เพื่อวัตถุประสงค์ในการท่องเที่ยว เยี่ยมชม การเข้าร่วมกิจกรรม หรือประชุม ธุรกิจ เป็นต้น (ยกเว้นวัตถุประสงค์ทางพาณิชย์) เค้าว่ากันว่า ผ่านยากเย็นแสนเข็ญ บางคนขอไป 3 ครั้ง ยังโดนปฏิเสธ
เราก็ลงของตัวเองก่อน ค่อยๆกรอกข้อมูลตามที่เค้าให้ลง ข้อมูลส่วนตัวไม่มีปัญหา ก็ลงไปตามจริง แต่พอมาถึงข้อมูลการพักในเกาหลี เราก็ใช้ข้อมูลการจองที่พัก ที่เริ่มจองไว้บ้างแล้ว วันแรกเราไปถึงเย็นมากแล้ว คงต้องพักในโซลก่อน แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยเดินทางไปปูซาน ก็เอาชื่อโรงแรม ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ ที่เราได้ตอนจอง มากรอก และไม่ต้องตกใจ เพราะเมื่อกรอกไปแล้ว ภายหลังเราเปลี่ยนใจเปลี่ยนไปพักที่อื่น เราก็สามารถเข้าไปแก้ไขข้อมูลที่เราแจ้งไว้ให้ตรงตามจริงได้ตลอดเวลา
ข้อมูลอีกตัวที่สำคัญคือ ภาพถ่าย จากประสบการณ์ในการขอวีซ่าของแต่ละประเทศ เค้าต้องการคือ ภาพถ่ายหน้าตรง เห็นหน้าผาก เห็นหูชัดๆ ไม่ต้องยิ้ม ทำหน้าธรรมดา เราก็ใช้มือถือถ่ายนี่แหละ หาผนังโล่งๆ แสงสว่างให้เคลียร์ๆหน่อย มือนิ่งๆ เท่านี้ก็ได้ภาพมาโหลดแล้ว ทำภาพขนาด 1.5 ซม.
กรอกข้อมูลครบแล้ว ก็กดส่งไปโลด เราก็ลุ้นว่าจะผ่านไม๊ ปรากฎว่า วันรุ่งขึ้นก็มีเมลแจ้งว่า อนุมัติผ่านฉลุย ( ที่ผ่าน คงเพราะ อายุเยอะแล้วไม่ใช่ผีน้อยแน่นอน เราขอล่วงหน้า 8 เดือน คือขอไว้ตั้งแต่เดือน เมษายน เดินทางจริงก็เดือน พฤศจิกายน )
จากนั้นก็ไล่ลงทะเบียนให้กับทุกคนทั้ง 5 คน ทุกคนได้รับการอนุมัติภายใน 2 วัน
- อันดับต่อไป ก็ทำแผนการเดินทาง หลังไล่อ่านรีวิวการเดินทางในเฟสบุ๊ค ในเน็ต แล้ว ก็วางแผนคร่าวๆว่า เราเดินทางเที่ยวแค่ 2 เมือง คือ ปูซาน กับ โซล แต่ละเมืองใช้เวลาแห่งละ 5 วัน ที่พักเพื่อสะดวกไม่ต้องลากกระเป๋าเปลี่ยนที่พักบ่อยเราก็เลือกพักที่เดียวในแต่ละเมือง เราเลือกเอาใกล้สถานีรถไฟหรือป้ายรถเมล ได้ใกล้แหล่งช้อปปิ้งยิ่งดี เย็นๆจะได้มีเวลามาเดินช้อปปิ้งได้ เลือกแล้วเปลี่ยน เปลี่ยนแล้วกลับมาเลือกใหม่ จนเอ๊ะ ราคาที่พักเริ่มจะพุ่งสูงขี้น ก็ต้องตัดสินใจเลือกเป็นหลักไว้ก่อน เอาที่ยกเลิกได้
- ต่อไปก็เตรียมเสื้อผ้า เราไปช่วงต้นหนาว จากข้อมูลถึงจะเป็นต้นธันวาคม ประเทศอื่นๆเค้าพึ่งงัดสเวตเตอร์ แจ๊กเก็ต ออกมาใส่ แต่ที่เกาหลี เค้าไปไกลถึงโอเวอโค๊ตแล้ว เพราะต้นเดือน ธันวาคม อุณหภูมิ ก็ลดลงมาเลขตัวเดียวใกล้ๆ 0 องศา ไม่เตรียมฮีทเทค ลองจอน เสื้อหนาวให้ดี ได้หนาวตายแน่ เราไป 11 วัน ก็ต้องงัดเอากระเป๋า 24 นิ้ว มาใช้แหละ เสื้อหนาวก็เอาไปไม่มาก แต่ก็ครบ 3 ชั้นแหละ ชั้นในสุดลองจอนฮีทเทค ถัดมาก็สเวตเตอร์ผ้าฟลีซ และตัวนอกก็แจ๊คเก็ตขนเป็ด มีโอเวอโค๊ตขนเป็ดติดไปอีกตัว คิดว่าถ้าหนาวสาหัสค่อยไปซื้อเพิ่มที่โน่น รองเท้าบู๊ทที่เก็บไว้ไม่ได้ใช้งานเลยตลอด 3 ปี ก็ลุ้นเอาแหละว่าจะทรยศ พื้นยางหลุดให้อับอายไม๊ ถ้าไม่ไหวก็ค่อยโยนทิ้งที่โน่น แล้วหาซื้อใหม่ แต่เพื่อความชัวร์ก็แอบยัดรองเท้าผ้าใบใส่ในกระเป๋าไปอีกคู่
- เงิน ก็แลกไว้ทั้งเงินสด และ บัตรเดินทาง 2 ธนาคาร คือ บัตรของกรุงไทย กับ กรุงศรีฯ แลกไว้บัตรละ ห้าแสนวอน ถ้าไม่พอค่อยแลกผ่านแอปเพิ่มเอาที่โน่น
- ทำประกันการเดินทาง ให้เรียบร้อย
- ตั๋วรถไฟ พาสต่างๆ ไว้ใกล้ๆราวๆเดือน ตุลาคม ค่อยเริ่มจอง
พร้อมข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้าเทียบพิกัดที่ตั้งกับ กูเกิ้ลแม๊ม จนแทบจะหลับตาเดินในโซล และ ปูซานได้ ก็เตรียมเดินทางได้ละนะ
วันแรก ( 30 พย. 2566 )
7.55 น. คือเวลาเครื่องบินออก แต่เราต้องมาโหลดกระเป๋า และ ผ่าน ตม. ก็ควรล่วงหน้ามาสัก 2-3 ชม. พวกเรามาถึง สุวรรณภูมิประมาณ 4.30 น. โชคดีเป็นวันธรรมดา คนไม่เยอะนัก แป๊บเดียวกันผ่านฉลุย
15.20 น. คือเวลาที่เครื่องจะแตะท่าอากาศยาน อินชอน เกาหลี แต่กว่าจะถึง เราก็นั่งกันจนเมื่อยแหละ ดีว่าเราสั่งอาหารไว้ 1 มื้อ จึงไม่ต้องแขวนท้องหิวกัน เรามาถึง 13.20 ตามเวลาประเทศไทย แต่เกาหลีต้องเลื่อนเวลาไปอีก 2 ชั่วโมง จึงกลายเป็น 15.20 เวลาที่โซล
เครื่องลงแล้ว ตอนนี้ก็มาลุ้นกันว่าจะผ่าน ตม. กันไม๊ ด้วยความที่โซเชียลมีเดีย โพสเรื่องคนไทยโดนส่งตัวกลับกันมาก จนเกิดกระแสแบนเกาหลี จนเราเองก็หวั่นใจ แต่เอาเข้าจริง เค้าแทบไม่ได้ถามอะไรเลย ดูข้อมูล ชี้ให้พิมพ์นิ้วมือ ถอดแว่นถ่ายภาพ แล้วก็ส่งพาสปอร์ตคืน ออกมากได้ภายในไม่ถึง 2 นาที บางคนก็โดนถามมากี่วัน แค่นั้นเอง ก็อย่างที่บอก พวกเราคณะ สว. อายุคาบเลข 6 กันแล้ว และทรงก็ไม่ดูเหมือนผีน้อย
ด้วยความที่รถบัสเข้าเมือง ราคาแพงมากคือ 18,000 วอน (480 บาท) เทียบกันรถไฟแค่ 4,550 วอน (121 บาท) พวกเราเลยลองนั่งรถไฟเข้าเมืองมาลงที่ สถานีโซล และนี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดมหันต์ เป็นบทเรียนที่เราเข็ดกันเลย ทั้งนี้เพราะทางเชื่อมในสถานีระหว่างสถานีรถไฟ กับรถใต้ดิน หรือ จะขึ้นมาบนถนน หลายๆแห่งมักเป็นบันใดธรรมดา เราต้องหิ้วกระเป๋าที่หนักมากกว่า 15 โล ขึ้นลงบันใด เหนื่อยจนลืมหนาวเลยทีเดียว ใครจะมาโซล อย่าหาทำนะคะ ขอบอก ยอมจ่ายเงินนั่งบัสสบายๆดีกว่าเยอะ
ที่พักวันแรกเราเลือกพักย่าน Dongdaemun ด้วยหวังว่า เราจะใช้เวลาช่วงค่ำๆเดินช้อปปิ้ง ร้านค้าส่งที่เปิดขายตลอดคืน แต่เอาเข้าจริง ด้วยความเหนื่อย และที่สำคัญหนาวมาก เรามาจากประเทศที่อากาศ 30 องศา มาถึงเจออุณหภูมิลดลง 0 องศา ร่างกายปรับตัวไม่ทัน แม้จะใส่เครื่องกันหนาวเต็มสูบ ก็ยังหนาวกัน จนบางคนในคณะเป็นไข้ไม่สบายทีเดียว ดังนั้นแผนที่จะเดินช้อปปิ้งชิวๆ จึงงดไปโดยปริยาย
เราเลือกพักที่ K-Guest House เพราะเห็นว่าแค่คืนเดียว เอาง่ายๆไว้ก่อน ทุลักทุเลกันพอควร เพราะเราหาทางออกไม่พบ เดินวนไปวนมาให้เหนื่อยกว่าเดิม รู้งี้หาที่พักหน้าสถานีรถไฟโซลดีกว่า
เช็คอินเข้าที่พักแล้ว ก็ออกมาหาอาหารเย็นทานกัน เรื่องซิมโทรศัพท์ พวกเราส่วนใหญ่เราซื้อซิมจากเมืองไทย หรือ เปิดโรมมิ่งเครือข่ายที่ใช้อยู่ แต่มีพวกเราบางคนมาลองซื้อซิม ที่นี่ ด้วยความรีบ แทนที่เราจะซื้อที่เคาเตอร์โทรศัพท์มือถือที่สนามบินที่มีหลายเคาเตอร์และให้เค้าเปิดเบอร์ให้เลย กลับคิดเร็วไปซื้อในร้านสะดวกซื้อ ตอนซื้อคนขายเค้าก็ให้อ่านคำอธิบายวิธีเปิดใช้งานซิมแล้ว แต่ความมึนความเหนื่อย และ ไม่คล่องภาษาอังกฤษ เราก็แค่พยักหน้า พอมาลองเปิดใช้งาน เอ้า... ไหงไม่ได้ล่ะ ต้องไล่ทำตามขั้นตอนในเอกสารคู่มือที่ให้มา ปล้ำกันอยู่นานกว่าจะสำเร็จ จนเจ้าของซิมถอดใจแล้ว แต่ก็ไม่นานก็ทำได้สำเร็จ และซิมเค้าแรงดีมาก ลื่นปรื๊ดเลย แต่ใช้ได้แค่ 7 วัน ไม่คุ้มค่าซิมพันกว่าบาทเลย
มื้อเย็น เดินมาหน้าโรงแรม แค่เดินข้ามถนน ก็เห็นร้านท้องถิ่นเปิดอยู่ มีคนนั่งทานอยู่ 2 โต๊ะ ก็เอาร้านนี้แหละ ขี้เกียจเดินหาแล้ว เข้าไปในร้าน อาจุมม่า ก็เชื้อเชิญให้นั่ง เอาเมนูภาษาเกาหลีมีรูปมาให้ดู ก็ดูแบบ งงๆว่าจะสั่งกันยังไง อาจุมม่าแกเลยชี้ให้ดูรูปภาพที่ผนังห้องให้เราชี้เลือกเอา มื้อนี้เป็นมื้อแรกของอาหารเกาหลี ลองเลือก ไก่ทอดราดซอสหวานๆ (ซีแม๊ก) อร่อยมากทีเดียว แต่ต๊อกบกกี (Tteokbokki) ก็พอทานได้อร่อยแค่คำแรกๆ และตลอดทริปพวกเราก็หลีกเลี่ยงการสั่งเมนูนี้กัน แต่ที่เด็ดมากคือ ออมุก(Eo-mook) ลูกชิ้นปลาหลายๆแบบ ซุปอร่อยมาก ร้อนๆซดแล้วชื่นใจ และอีกอย่างเป็นปลาหมึกผัดกับซอสเกาหลีก็ไม่ค่อยชินลิ้น แต่ก็ซัดกันเรียบเกือบหมดทุกอย่าง
ระหว่างการกิน ก็มีคนเกาหลีที่เลิกงาน ทะยอยเข้ามาในร้าน เฮฮาเสียงดังเพราะเป็นร้านเหล้า เค้ามาดื่มเบียร์สดและนั่งคุยกัน มีโต๊ะเราที่สงบเสงี่ยมค่อยๆกิน และฟังเค้าเฮฮากันไป
กินอิ่มแล้ว ยังหัวค่ำไม่ดึกนัก ก็เลยมาเดินเล่นที่ DDP ( Dongdaemun Design Plaza ) เงียบๆเหงา ไม่เห็นเค้าประดับไฟกันเลย เดินเล่นซักพัก หนาวมาก เลยเปลี่ยนใจไม่ช้อปปิ้งแล้ว กลับที่พักดีกว่า
เช้าวันที่ 2 - 1 ธันวาคม 2566 เช้านี้เราชิวชิว ไม่เร่งรีบ เพราะเราจองตั๋วรถไฟไปปูซานไว้ เวลา 10.57 ซึ่งจะเดินทางถึงปูซานเวลา 13.42 น. อาหารเช้าที่ รร. เริ่ม 8.00 น. เราอาบน้ำแต่งตัวกันอย่างสบายๆ เช้านี้อุณหภูมิ ลดลงอีกต่ำกว่า 0 ถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณ -2 หนาวสะใจเลย แต่ก็ยังเบาใจ ดูจากพยากรณ์อากาศล่วงหน้า วันนี้น่าจะหนาวที่สุดในช่วงเวลาที่เราอยู่ที่เกาหลี หลังจากนั้นอุณหภูมิจะเริ่มสูงขึ้นอีก 2-3 องศา ก็ยังดีละนะ (ยังแอบเสียดายและลุ้นว่าจะมีโอกาสเห็นหิมะไม๊หน้อ)
รองเท้าบูทที่แอบลุ้นว่าพื้นยางจะหลุดร่อนไม๊ ก็เป็นไปตามคาด ยางหลุดร่อน เลยเอาทิ้งถังขยะซะเลย งัดเอาผ้าใบมาใส่แทน
ไปถึงสถานีโซลก่อนเวลา สถานีนี้ไม่ซับซ้อนอะไร เข้าไปก็เป็นโถงใหญ่ รวมทุกสิ่งสรรพไว้ตรงนี้ เข้ามาทางขวามือเป็นทางเข้าห้างล็อตเต้ ซ้ายมือเป็นช่องขายตั๋วและตู้อัตโนมัติ ถัดไปก็เป็นทางเข้าเกทต่างๆ ดูจากป้าย KTX ก็พอรู้ว่าเข้าทางไหน คอยดูจากบอร์ดไฟว่าเค้าจะประกาศขบวนที่เราจะไปว่าเข้าจอดที่เกทไหน
พอประกาศเกทที่เราจะไปขึ้นรถไฟ KTX ก็ไม่รอช้ารีบเข็นกระเป๋าไปที่ชานชาลา สวนกับคนที่พึ่งลงรถเข้ามา จนคนไปกันหมด ถึงได้เข้าใจว่าทำไมมีพวกเราแค่ 5 คน มันหนาวมากจ้า อีกกว่าครึ่งชั่วโมงถึงจะได้เวลารถออก แต่ยังดีมีห้องกระจกอุ่นๆให้นั่งรอ รอจนเค้าทำความสะอาดรถไฟเสร็จและป้ายไฟขึ้นเลขขบวน เราจึงย้ายขึ้นมานั่งบนรถไฟ
ขึ้นมาโล่งมาก คิดว่าวันนี้คงเดินทางสบาย ที่ไหนได้สักพักคนขึ้นมาเต็มขบวน
แล้วเราก็พลาดที่ไปเลือกขบวนหวานเย็น จอดทุกป้าย รถไฟไปปูซานกำลังเดินทางถึงที่หมายแล้ว ติดตาม ปูซานในตอนต่อไปนะคะ
No comments:
Post a Comment
ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......