ดูโพสก่อนหน้านี้
เตรียมการเดินทาง
https://somersetmghm.blogspot.com/2017/12/kunming-dali-lijiang-shangrila.html
วันแรกการเดินทาง Bangkok-Kunming
https://somersetmghm.blogspot.com/2017/12/kunming-dali-lijiang-shangrila-2.html
วันที่2 : Jade Dragon snow mountain , Lijiang
https://somersetmghm.blogspot.com/2017/12/kunming-dali-lijiang-shangrila-3.html
วันที่3: The First Bend of the Yangtze River , Old Town Shangrila
https://somersetmghm.blogspot.com/2017/12/kunming-dali-lijiang-shangrila-4.html
วันที่4 : Shika snow mountain , Napa Haiguiqing Grassland
http://somersetmghm.blogspot.com/2017/12/kunming-dali-lijiang-shangrila-5.html
ก่อนจะไปวัดซงจ้านหลิน ก็ขอแวะชมเมืองแชงกรีล่า กันสักหน่อย
วัดลามะซงจ้านหลิน (Songzanlin) เป็นวัดใหญ่ที่สำคัญของเมืองแชงกรีลา อยู่ห่างจากตัวเมืองจงเตี้ยนไปทางเหนือประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นวัดนิกายลามะแบบทิเบตที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนานอายุเก่าแก่กว่า 300 ปี
การเดินทางมายังวัด เราจะต้องซื้อตั๋วรถบัสเพื่อเข้าไปยังวัด และจอดรถของเราไว้ที่จุดซื้อตั๋ว จากนั้นขึ้นรถบัสของทางวัดที่ใช้เวลาเดินทางไม่ไกลนัก แต่ถนนที่ไปยังตัววัดแคบมากๆ และผ่านชุมชนบ้านเรื่อนชาวบ้าน ดังนั้นการให้นั่งรถบัสจึงเป็นวิธีที่ดี ในการที่จำกัดการเข้าออกวัดและไม่รบกวนคนในชุมชนมากเกินไป
จากลานจอดรถ วัดซงจ้านหลิน ก็เผยโฉมให้เห็น
เข้าวัดซะหน่อย
ออกจากวัด เราก็ออกเดินทางออกจากแชงกรีล่า มุ่งหน้ากลับมาลี่เจียง แวะกินอาหารกลางวันแบบจัดเต็มที่ร้านอาหารที่เคยมาทานตอนขามา การเดินทางมาเป็นกลุ่มคณะก็ดีไปอย่างในแง่การหาร้านอาหารรับประทานสำหรับที่นี่ เพราะร้านอาหารที่นี่ให้ปริมาณอาหารแบบชามเปลใหญ่เบิ้ม ถ้ามาแค่ 2-3 คน เราคงเสียดายไม่กล้าสั่งเยอะ แต่พอมากันคณะใหญ่ เลยจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบ เต็มโต๊ะ และเกือบทุกมื้อก็จัดกันแบบนี้ หมดเกลี้ยงทุกครั้ง นับเป็นคณะทัวร์อยู่เพื่อกินกันโดยแท้ เห็นจัดเต็มชุดใหญ่อย่างนี้ ค่าอาหารแต่ละมื้อประมาณ 2 พันบาท สำหรับ 10 คน ซึ่งก็อยู่ในงบที่ตั้งไว้แต่แรก จบทริปยังมีเงินเหลือคืนสมาชิกให้ช้อปปิ้งที่คุนหมิงอย่างครื้นเครง
แวะล้างรถอีกนิด
เข้าเมืองลี่เจียง จุดแรกที่แวะคือ สระน้ำมังกรดำ (Heillongtan, Black Dragon Pool) หรือเฮยหลงถัน อยู่ในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ซึ่งเรียกว่า สวนยู้วฉวน (Yuquan) สระมังกรดำ นี้มีที่มาจากตำนานเล่าขานกันว่าในอดีตมีคนพบเห็นมังกรดำปรากฏกายใต้น้ำบ้าง ผุดขึ้นมาจากสระน้ำบ้าง บรรยากาศภายในสวนนั้นเงียบสงบและงดงามด้วยบึงน้ำใสสะอาดสะท้อนภาพทิวทัศน์ของเทือกเขาหิมะมังกรหยกได้อย่างชัดเจน ว่ากันว่าทิวทัศน์ของเทือกเขาหิมะมังกรหยกที่มองจากบริเวณสระมังกรดำเป็นหนึ่งในทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดของจีน
เย็นมากแล้ว ถึงเวลาต้องเข้าที่พักซะที วันนี้เลือกพักที่ Lijiang Lize Graceland Merry Inn เพราะเข้าใจผิดคิดว่าอยู่ริมถนนใกล้จุดกังหันน้ำ ที่จริงโรงแรมอยู่บนเขา ถึงจะไม่ได้อยู่ริมถนน แต่ก็เดินไม่ไกลนัก การที่โรงแรมอยู่บนเนิน ก็ดีไปอย่างเพราะเราสามารถมองเมืองเก่าลี่เจียงจากมุมสูงได้
หลังจากเก็บของเข้าที่พัก เราก็ออกเดินชมเมืองเก่า ความที่อยู่ที่สูงก็ต้องเดินลัดเลาะลงบันไดลงมาในที่ราบ มาตั้งต้นที่กังหันน้ำ ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
เมืองโบราณลี่เจียง เมืองเก่ากว่า 800 ปี ที่มีสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแตกต่างไปจากเมืองโบราณอื่นๆของจีน เนื่องจากเป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งรกรากของชาวหน่าซี หรือนาซี มาตั้งแต่สมัยโบราณ เมืองนี้ยังได้รับการขนานนามว่า "เวนิสแห่งตะวันออก" และเป็นเมืองมรดกโลกอีกด้วย และเมืองโบราณลี่เจียงเองก็ยังคงรักษาความงามในอดีตไว้ได้เป็นอย่างดี มีทางเดินที่ปูด้วยหินอัดแน่น อาคารไม้แบบจีนโบราณ ลำธารที่ไหลผ่านเกือบทุกหลังคาเรือน สะพานโค้งหินเก่าแก่ ต้นหลิวริมลำธารที่กิ่งใบลู่ไหวไปตามสายลม ถนนแต่ละสายในเขตเมืองเก่าจะมาบรรจบกันที่ตลาดสี่เหลี่ยม “ซื่อฟางเจีย” ศูนย์กลางการซื้อขายสินค้า
ก่อนจะเดินชมเมืองเก่า ก็ต้องหาอาหารเย็นทานกันก่อน น่าชื่นชมร้านอาหารชื่อดังอย่าง สตาร์บัค เคเอฟซี หรือ แมคโดนัล ต่างก็ตกแต่งร้านในสไตล์เมืองเก่าอย่างกลมกลืน
ในที่สุดเราก็เลือกร้านอาหารได้ร้านนึง สั่งติ่มซำ เกี๊ยวซ่า และข้าวต้ม มาทาน แต่เราเจอทีเด็ด ข้าวต้มหวานเจี๊ยบ นึกถึงตอนเห็นบ๋อยที่แชงกรีล่า กินข้าวต้มใส่น้ำตาล 3 ช้อน นึกว่าเป็นความชอบส่วนตัว ที่ไหนได้มันเป็นอาหารของคนที่นี่ แต่เราก็เห็นบ๋อยกินกับผักดองแบบข้าวต้มนี่ ที่เด็ดกว่า ก็พ่อครัวและคนในร้านทุกคนมารุมดูพวกเรากินอาหาร คงนึกสังเวชพวกเราว่าจะกินข้าวต้มหวานกับกับข้าวยังไง และก็จำไม่ได้ว่าพวกเราที่สั่งข้าวต้มหวานมาทานได้หรือทานหมดหรือไม่
ทานกันเสร็จก็ได้เวลาเดินชมเมืองเก่ากันแล้ว เดินแล้วก็ต้องซื้อด้วยสิถึงจะได้อรรถรสในการชมเมือง
และก็หมดเวลาสำหรับยามค่ำที่เมืองเก่าลี่เจียง ที่สวยแค่ความเป็นเมืองเก่าของอาคารบ้านเรือนเท่านั้น แต่วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ กลับไม่มีจิตวิญญาณของความเป็นเมืองเก่า ตามริมตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยคลับ บาร์ ส่งเสียงอึกทึก ร้านค้าก็ขายกันแต่สินค้าของใช้ ของที่ระลึก มันกลายเป็นเมืองเก่าแต่เปลือก จัดฉากสำหรับนักท่องเที่ยว ไม่ใช่เมืองสำหรับชาวเมือง สู้ด้านนอกของเมืองเก่าที่เราพักกันวันแรก ยังดูเป็นเมืองที่สงบเงียบและเห็นคนที่นี่ใช้ชีวิตแบบเป็นจริง ไม่ว่าจะร้านค้าต่างๆที่ขายของที่จำเป็น ร้านอาหารที่ขายอาหารที่คนที่นี่รับประทาน
แต่ถึงยังไง ลี่เจียงก็ยังเป็นสถานที่น่ามาเยี่ยมชม น่ามาเดินและพักสัมผัสกับความเป็นเมืองเก่า แกล้งไม่สนใจแสงสีเสียงที่ครึกโครม และให้ความสนใจกับความเป็นเมืองเก่าที่ยังคงเป็นเมืองเก่าที่สมบูรณ์จนได้รับเลือกให้เป็นเมืองมรดกโลก
ด้วย 3 เหตุผลที่ทำให้ลี่เจียงได้รับเลือกจากยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลก คือ ลี่เจียงเป็นเมืองเก่าที่ชนเผ่านาซีอาศัยอยู่ มีสถาปัตยกรรมจีนโบราณที่สวยงาม หน้าบานทุกหลังจะมีแม่น้ำไหลผ่าน มีการค้าขายของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยว เหตุผลต่อมาคือ ลี่เจียงมีแม่น้ำ 3 สายไหลขนานกัน ได้แก่ แม่น้ำจินซาเจียง ไหลไปเซี่ยงไฮ้ แม่น้ำโขง ไหลไปเขมร และแม่น้ำหลู่เจียง ไหลไปพม่า แต่แม่น้ำสามสายไม่เคยไหลมาบรรจบกันเลย เพราะตรงกลางของแม่น้ำ มีภูเขาเหล่าจินกั้นกลางแม่น้ำสามสาย และสุดท้ายมีหมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ข้างทะเลสาบ หลูกู เป็นหมู่บ้านหญิงล้วน เด็กๆ จึงไม่มีพ่อ ไม่มีปู่ มีแต่แม่กับยาย เท่านั้น
พรุ่งนี้เช้า จะลองสำรวจว่าเมืองเก่านี้ยามเช้าจะเป็นเช่นไร ติดตามชมได้ที่นี่
https://somersetmghm.blogspot.com/2017/12/kunming-dali-lijiang-shangrila-7.html
No comments:
Post a Comment
ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......