Wednesday 14 April 2021

น่าน ชิวชิว

November 2019 , 13-18





จังหวัดน่าน อยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย มีสภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาซึ่งวางตัวในแนวเหนือ-ใต้ โดยเฉพาะบริเวณชายแดนด้านเหนือและตะวันออกซึ่งเป็นรอยต่อกับประเทศลาว พื้นที่เต็มไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน ทั้งยังมีประชากรหลายชาติพันธุ์ นับว่าเป็นดินแดนของความหลากหลายอีกแห่งหนึ่งของประเทศ

  1. ชาวไทยวน หรือ คนเมือง ส่วนใหญ่อพยพมาจากเชียงแสนและบริเวณต่างๆ ของล้านนา ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัด
  2. ชาวไทลื้อ (ไทลื้อ, ไทยอง) ส่วนใหญ่อพยพมาจากสิบสองปันนาและหัวเมืองต่างๆ บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง
  3. ชาวไทพวน หรือ ลาวพวน อยู่ที่บ้านฝายมูล อำเภอท่าวังผา และบ้านหลับมืนพวน อำเภอเวียงสา
  4. ชาวไทเขิน หรือ ชาวขึน อพยพมาจากเชียงตุง ปัจจุบันส่วนใหญ่จะถูกกลืนทางวัฒนธรรมจากคนเมือง
  5. ชาวไทใหญ่ หรือ เงี้ยว หรือ ไตโหลง มีถิ่นฐานในรัฐฉาน และเชียงตุง อาศัยอยู่บริเวณแถวอำเภอทุ่งช้าง ในปัจจุบันถูกกลืนวัฒนธรรมจนแทบแยกไม่ออกว่าเป็นชาวไทใหญ่


จังหวัดน่าน มีแหล่งท่องเที่ยวให้ผู้สนใจได้ท่องเที่ยวมากมายไม่รู้จบ ทั้งสถานที่ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี แหล่งอารยธรรมโบราณ สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติก็มีความหลากหลาย ด้วยลักษณะภูมิศาสตร์ที่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน แปลกตาจากพื้นที่ทั่วไปในประเทศไทย


ที่จริงจังหวัดน่าน เรามาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เคยเบื่อ ครั้งนี้เมื่อน้องๆชวนไปเที่ยวน่าน เราจึงไม่ลังเลที่จะไปอีกครั้ง ตามกำหนดการ คณะจะเดินทางช่วงบ่ายๆ มาถึงน่านเย็นๆ และจะเดินทางไปอำเภอต่างๆเลย ไม่ได้เที่ยวในตัวเมืองน่านเท่าใดนัก ฉะนั้นเราเลยเดินทางล่วงหน้ามาก่อน 1 วัน ขอชิวชิว ชมเมืองเก่าเข้าวัดไหว้พระซะหน่อย นอนรอคณะที่จะมาพร้อมกันอีกวันนึง


เราเดินทางโดยทางเครื่องบิน เพื่อถนอมพลังไม่ต้องเพลียจากการเดินทางไกล มาถึงสนามบินน่านนคร ก่อนเที่ยงเล็กน้อย สนามบินอยู่ห่างจากตัวเมืองทางทิศเหนือประมาณ 4 กม. เราสามารถเดินออกมานั่งรถ 2 แถวที่หน้าสนามบิน ค่ารถไม่แพงคนละ 50 บาท แต่เนื่องจากรถมีน้อยและต้องใช้เวลารอรถนาน เราจึงเลือกใช้บริการรถแท๊กซี่สนามบิน ค่ารถไม่แพงพอรับได้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 100 บาท


ที่พักสำหรับวันแรกที่เดินทางมาคนเดียว เราเลือกพักโฮมสเตย์หรือเกสเฮาส์ ที่มีมากมายในตัวเมืองน่าน เราชอบอ่านหนังสือจึงไม่รีรอที่เลือกพักที่ ห้องสมุดบ้านๆน่านๆ ( https://goo.gl/maps/RWBYZZAd7kWuWCVQ9 ) ซึ่งเป็นบ้านไม้ทรงกลางเก่ากลางใหม่ บรรยากาศเงียบสงบ ร่มรื่นจากต้นไม้ที่เจ้าของปลูกไว้มากมาย นอกจากที่พักที่มีห้องให้พักไม่มากนัก น่าจะประมาณ 4-5 ห้อง ยังมีร้านกาแฟที่เจ้าของทำแบบสไตล์ห้องสมุด ลูกค้าสามารถเข้ามาสั่งเครื่องดื่มและเลือกหาหนังสือนั่งอ่านได้  













หลังจากเช็คอิน เอากระเป๋าเดินทางเก็บเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว  ก็ต้องหาอะไรใส่ท้องซะหน่อย เดินออกมาทางปากซอยที่อยู่ตรงข้ามวิทยาลัยเทคนิคน่าน  มีร้านอาหารหลายร้าน  เลือกทานก๋วยเตี๋ยว อร่อยพอใช้ได้  อิ่มแล้ว ก็ได้เวลาออกสำรวจเมืองเก่ากัน จะไปไหนดี

จากที่พัก วัดภูมินทร์ อยู่ไม่ไกลนัก ประมาณ 1 กม.  อากาศช่วงกลางเดือน พย. กำลังเย็นสบาย หนาวนิดๆในตอนเช้า แต่พอบ่ายก็จะร้อนขึ้น แต่ก็ไม่ร้อนมากนัก พอที่เราจะออกกำลังเดินชมเมืองได้อย่างสบาย  

เส้นทางการเดินเล่นในเมือง เราเดินย้อนกลับมาที่พัก และเดินออกอีกด้านของซอย ออกมาปากซอยมหาพรหม1  ใกล้ๆกันเป็นวัดไผ่เหลือง  ชะโงกเข้าไปดู เห็นโบสถ์เปิดอยู่ ถือโอกาสเข้าไหว้พระเป็นวัดแรกเลย

ออกจากวัดไผ่เหลือง เดินไปตามถนนมหาพรหมมุ่งหน้าไปวัดภูมินทร์  จนเจอด้านหลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน เดินเข้าซอยข้างๆ ทะลุออกมาถนนสุริยพงษ์ จะเจอร้านโอท้อปพอดี  ถือโอกาสสำรวจตลาด ราคาเสื้อผ้าพื้นเมืองซะเลย  ช่วงนี้โครงการคนละครึ่ง ช่วยทำให้การตัดสินใจซื้อสินค้าง่ายกว่าเดิม  ในร้านโอท้อป ราคาสินค้าพื้นเมืองค่อนข้างสูง แต่เมื่อมีโครงการคนละครึ่ง ราคาจึงดูเป็นมิตร ทำให้ขายดิบขายดี แฮปปี้ทั้งคนซื้อและคนขายกันถ้วนหน้า  ข้างๆร้านโอท้อปยังมีตลาดเสื้อผ้าพื้นเมือง ราคาย่อมเยากว่าในร้านโอท้อปมากนักยิ่งได้คนละครึ่งมาช่วยด้วย ทำให้เหมือนได้เปล่า กางเกงม่อฮ่อมพื้นเมืองราคาตัวละ 150-200 บาท พอใช้คนละครึ่งมาลดอีกราคาเหลือแค่ร้อยต้นๆ  ว่าจะสำรวจดูไว้ก่อนค่อยช้อปตอนจะกลับ ก็อดใจไม่ไหว สอยมา 2-3 ตัว

จากนั้นก็เดินต่อมาวัดภูมินทร์  วัดชื่อดังซึ่งมีภาพวาดฝาผนังปู่ม่าน ย่าม่าน กระซิบรักบรรลือโลก เป็นภาพวาดที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองน่าน  ความสวยแปลกของวัดภูมินทร์ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน เป็นหนึ่งเดียวในประเทศไทยอีกหนึ่งอย่างคือ พระอุโบสถทรงจตุรมุขที่มีบันไดนาคทั้งสี่ทิศ ข้างในประดิษฐานพระประธานจตุรพักตร์ 4 ด้าน ไม่ว่าจะเดินขึ้นบันไดทิศไหนก็จะพบพระพักตร์ของพระพุทธรูปทุกด้าน

ข้างๆวัดกำลังตั้งแผงตลาดนัดถนนคนเดิน เด้วคงได้ช้อปสนุกอีกแล้ว  แต่ยังก่อน วันนี้มีนัด นัดน้องที่รู้จัก เค้ามาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ด้วยความคิดถึง จึงนัดมานั่งคุยกัน นัดพบกันที่ร้านกาแฟอเมซอน บ้านหลวงธนานุสร( ช่วง โลหะโชติ ) ข้างวัดภูมินทร์  บรรยากาศบ้านตึกเก่าแบบโบราณที่ปรังปรุงใหม่ น่านั่งมาก แต่ยังไม่ถึงเวลานัด จึงขอแวะเข้าไปไหว้พระในวัดภูมินทร์ซะนิดนึง  ว่าจะถ่ายภาพจิตรกรรม กระซิบรักฯ ซะหน่อย แต่นักท่องเที่ยวเยอะมาก ทุกคนจะมาถ่ายภาพคู่กับงานจิตรกรรมนี้ทุกคน เลยเดินเลี่ยงออกมา  เด้ววันสุดท้ายค่อยกลับมาใหม่ละกัน










มาเจอเพื่อนที่ร้านกาแฟอเมซอน นั่งเม้าท์มอยจนตลาดนัดเปิดขายของ เลยร่ำลากัน ออกมาเดินดูของ และหาของกินซื้อกลับไปกินที่ที่พัก  เสื้อผ้าที่วางขายส่วนใหญ่ก็มาจากร้าน ซอยข้างโอท้อปนั่นแหละ ราคาเดียวกัน ของกินมากมายจนตาลาย จะซื้อมานั่งกินที่ขันโตกที่จัดวางไว้บริเวณลานวัดภูมินทร์ก็ได้  แต่คนเยอะมาก ที่นั่งโดนจับจองหมดแล้ว ก็เลยซื้อกลับมาทานที่เกสเฮ้าส์แทน

ขากลับเดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน เย็นมากแล้วแสงน้อยมาก ทางเดินลอดซุ้มต้นลั่นทม จึงมืดสลัว ไว้ค่อยกลับมาเก็บภาพวันสุดท้ายดีกว่า เดินต่อไปจนถึงด้านหลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน จะเจอวัดหัวข่วง  เปิดไฟในโบสถ์สว่าง และไม่มีคน ถือโอกาสแวะเข้าไปไหว้พระอีกสักนิด 





เช้านี้ จะเริ่มเข้าโปรแกรมทัวร์กันเต็มคณะ  คณะเรามีทั้งหมด 6 คน เช้านี้จะพบกลุ่มแรกคือ กลุ่มของน้องชาย น้องสะใภ้  และครูของน้องสะใภ้ เดินทางมาโดยรถทัวร์ ถึงเช้ามืด  เราเช่ารถตู้สำหรับ 4 วัน โดยนัดให้มารับที่ท่ารถ บขส. ตอน 8 โมงเช้า  เราเลือกเดินไปท่ารถเพื่อสมทบกับกลุ่มน้องชาย ระยะทาง 1.2 กม.  เดินตอนเช้าๆสบายๆ  แวะเข้าไปไหว้พระที่วัfศรีพันต้น สักนิด อากาศแจ่มใส ฟ้าใสสวยเชียว








เจอร้านต้มเลือดหมู ปากทางเข้า บขส. เลยแวะนั่งทานอาหารเช้าซะก่อน สักพักน้องชายก็ตามมาสมทบ พร้อมรถตู้ที่มารับตรงเวลา  ทานอาหารเสร็จก็ไปรับ กลุ่มที่เหลือ 2 คน ที่มาถึงน่านตั้งแต่เมือวานเย็น แต่พักคนละที่กับเรา  

หลังทุกคนครบองค์คณะแล้ว เราก็เริ่มต้นการเดินทาง 

จุดหมายแรกของวันนี้ มุ่งลงทางใต้ของเมืองน่าน ไปยังดอยเสมอดาว อุทยานแห่งชาติศรีน่าน อำเภอนาน้อย  ระยะทาง 76 กม.   ระหว่างทางตั้งใจแวะ วัดบุญยืน ที่อำเภอเวียงสา  ทางผ่าน  และหาข้าวเที่ยงทานกันที่นี่  เรามาถึงวัดประมาณ 10 โมงเช้า  ปรากฎว่าทางวัดมีพิธีบวชพระใหม่อยู่ในโบสถ์ เข้าไปไม่ได้  



ปรับแผนใหม่ เดินทางต่อ ไปหาร้านอาหารข้างหน้า  ได้จุดแวะคือร้านตงต้ง คาเฟ่  แวะนั่งพักดื่มกาแฟกัน  ร้านน่านั่งมาก อยู่กลางทุ่งนา บรรยากาศโล่งสบายดีจัง  (ข้ามไปจุดนึง ก่อนถึง อำเภอเวียงสา คนขับรถตู้ พาพวกเราไปแวะวัดนึง ชื่ออะไรจำไม่ได้ เป็นแบบวัดป่า เน้นการปฏิบัติสมถะวิปัสสนา )


 
จากนั้นก็เดินทางต่อ ก่อนขึ้นดอยเสมอดาว  เราแวะที่ เสาดินนาน้อย  อำเภอนาน้อย ทางผ่านก่อนถึงดอยเสมอดาว  

เสาดินนาน้อย (ฮ่อมจ๊อม)  คือความแปลกตาของเสาดิน ที่มีลักษณะคล้าย แพะเมืองผี ในจังหวัดแพร่นั่นเอง จากหลักฐานทางธรณีวิทยาต่างๆ พบว่าเสาดินนาน้อยน่าจะเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ในยุคเทอร์เชียรีตอนปลาย มีอายุราวๆ 30,000 ปีมาแล้ว เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่สวยงามที่เกิดจากการทับถมของดินและเกิดน้ำกัดเซาะจนกลายเป็นริ้วรายที่แปลกตา  นักธรณีวิทยาสันนิษฐานว่า บริเวณนี้น่าจะเคยเป็นก้นทะเลมาก่อน และยังมีการพบหลักฐานต่างๆ ทั้ง กำไลหิน ขวานโบราณ ซึ่งปัจจุบันนำไปเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้น่าจะเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในยุคหินเก่านั่นเอง 

เสาดินนาน้อยมีลักษณะเป็นหุบผาและแท่งดินผสมหินลูกรังสีแดงปนส้ม รูปทรงต่าง ๆ กันไป 












ไม่ไกลจากเสาดินนาน้อยนัก  มีจุดแวะอึกจุด คือ คอกเสือ ซึ่งมีลักษณะเป็นแอ่งลึกจากเนินดินด้านบนประมาณ10 ม.มีทางลงไปชมปฎิมากรรมดินที่อยู่ด้านล่าง  เมื่อลงไปจะพบว่าบริเวณรอบ ๆ มีลักษณะเป็นหุบผาเป็นฉากม่านขนาดใหญ่มีริ้วลายเป็นร่องยาว รวมถึงมีแท่งดินรูปร่างต่างๆ กระจัดกระจายอยู่ภายในเหมือนกับที่เสาดินนาน้อย ในสมัยก่อนชาวบ้านเล่าว่า บริเวณนี้มีเสืออาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และจะมาขโมยเอาวัว ควาย และหมูของชาวบ้านที่เลี้ยงไว้กินเป็นอาหาร ชาวบ้านจึงรวมกำลังไล่ต้อนเสือให้ตกลงไปในบ่อดินดังกล่าว แล้วใช้ก้อนหินและไม้แหลมขว้างและทิ่มแทงเสือจนตาย เขาจึงเรียกบริเวณนี้ว่า “คอกเสือ”








จุดหมายสุดท้ายของวันนี้ คือ ดอยเสมอดาว  สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 888 เมตร ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติศรีน่าน จังหวัดน่าน  ช่วงที่เหมาะจะมาที่นี่คือ ช่วงเดือนพฤศจิกายน-เดือนกุมภาพันธ์ เพราะช่วงนี้อากาศจะดี กลางคืนเรายังสามารถนั่งชมดาวและทางช้างเผือกได้อย่างชัดเจนสวยงาม  แถมยังรับประกันได้ว่าจะตื่นมาท่ามกลางสายหมอกแน่นอน  

บนดอยเสมอดาว มีรีสอร์ตให้เลือกพักมากมาย  พวกเราเลือกพักที่ ม่อนเคียงดาว น่าน  ที่พักเป็นแบบกระโจมมีห้องน้ำส่วนตัว พร้อมอาหารเช้า 1 มื้อ ราคาแอบสูงไปนิด  แต่ก็เข้าใจได้ เพราะปีนึงคงขายได้เฉพาะช่วงเวลานี้เท่านั้น

รถสามารถเข้าถึงที่พักได้ แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าฝนอาจลำบากต้องเปลี่ยนรถปิคอัพของทางรีสอร์ต เพราะทางเป็นดินลูกรังที่บางจุดค่อนข้างชัน รถตู้ผ่านลำบากแน่

เรามาถึงประมาณบ่ายแก่ๆ อากาศร้อนอบอ้าว ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยนั่งหลบแดดเล่นมือถือข้างๆกระโจมที่พักนั่นแหละ สัญญามือถือบนนี้ค่อนข้างใช้ได้ 












กระโจมใหญ่ สามารถพักได้ 5-6 คน แต่เรากลัวนอนเบียด เลยจอง 2 กระโจม นอนกระโจมละ 3 คน ไฮโซซะไม่มี   มื้อเย็นเราฝากท้องกับร้านอาหารของที่พัก รสชาดพอใช้ได้ ทานไปก็นั่งชมพระอาทิตย์ตกไป  คืนนี้ดาวเต็มท้องฟ้า สวยมากมาย แต่เราไม่ได้เอาขาตั้งกล้องมาด้วย จึงได้แต่นั่งชมดาวแทนการถ่ายภาพ หรือบางจุดก็ใช้วิธีวางกับพื้นเพื่อให้กล้องนิ่ง  อากาศพอพระอาทิตย์ลาจาก ก็เย็นลงถึงระดับหนาวอย่างรวดเร็ว จนต้องงัดเอาแจ๊คเก็ตออกมาสวมกัน  







เช้านี้เราตื่นตั้งแต่เช้ามืดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อมาชมทะเลหมอกกัน เนื่องจากกระโจมที่พักหันหน้าไปทางทิศตะวันตก จะดูทะเลหมอกให้สวยงามต้องดูทางทิศตะวันออก เดินจากกระโจมไปประมาณ 100-200 เมตร   ผู้คนมากมายมานั่งจับจองพื้นที่ดูทะเลหมอกันแล้ว








งัดเอามุขเก่าๆมาใช้ คือ หยิบตะวัน  หนุกหนานกันทั่วหน้า










อาหารเช้าเป็น ข้าวต้มหมู (วิญญาณหมู) เราได้ยินเสียงสับหมูสนั่นรีสอร์ตตั้งแต่หัวค่ำ นึกว่าจะได้กินอาหารอร่อยๆ ที่ไหนได้ เจอข้าวต้มวิญญาณหมู  แต่เค้าก็มีอาหารตามสั่งให้สั่งได้แต่ต้องเสียตังเพิ่มเองนะ  

อาบน้ำ เก็บของกันเรียบร้อย เราก็ลงจากดอยเสมอดาว มุ่งขึ้นเหนือกลับมายังตัวเมือง เพื่อจะเดินทางต่อไป อำเภอปัว  คืนนี้เราจะพักกันที่ปัว (ช่างเป็นการเดินทางที่ไขว้ไปไขว้มาเหลือเกิน  แต่เป็นความต้องการของสมาชิก ก็ไม่ว่ากัน)  

เรามาถึงตัวเมืองน่าน เกือบเที่ยง เลยถึงโอกาสหาอาหารเที่ยงทานกันซะเลย (เพราะมื้อเช้า ทานกันไม่ลง 555)  มีการเสนอร้านอาหารชื่อ ณัฐอร่อยเลิศ  แต่ไม่รู้พิกัด  งานนี้ก็ต้องพึ่ง Google Map ให้พาไป  เป็นร้านอาหารประเภทอาหารจานเดียว มีพวกข้าวซอย ขนมจีนน้ำเงี้ยว  ข้าวหมูแดง หมูกรอบ  มีการโฆษณาว่าข้าวซอยอร่อยเลิศสมชื่อร้าน หลังจากการชิมแล้ว เราก็เห็นด้วยตามราคาคุย ไม่ได้เกินเลย อร่อยสมราคาคุย  จนวันก่อนกลับจะไปซ้ำอีกหน ปรากฎว่าเค้าปิดร้านซะนี่

อิ่มกันดีแล้ว ก็ออกเดินทางต่อไปอำเภอปัว  จุดหมายของช่วงบ่ายนี้ เราจะแวะ วัดพระธาตุเบ็งสกัด ,Cocoa Valley Resort , วัดภูเก็ต , ร้านลำดวนผ้าทอ และ ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ  ดูมากมาย จะแวะได้หมดรึ แต่จุดแวะนี้อยู่ไม่ห่างกันนัก แต่ละที่เราใช้เวลาไม่นาน ก็พอจะทำเวลากันได้

ที่แรกคนขับรถแนะนำคือ วัดก๋ง หรือ วัดศรีมงคล เป็นวัดเก่าแก่ที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2395  พระสงฆ์ที่มีชื่อที่สุดของวัดนี้คือ หลวงปู่ก๋ง  ด้านหลังวัดมีลานชมวิว ซึ่งมีทัศนียภาพที่งดงาม มองเห็นทุ่งนาเขียวขจี และทิวเขาของดอยภูคาเรียงรายสลับซับซ้อน บริเวณนาข้าวมีที่พักและร้านกาแฟฮักนน่าน มีสะพานไม้ไผ่เชื่อมจากตัววัดสามารถลงไปเดินเล่นถ่ายภาพได้ โดยบริเวณลานชมวิว ทางวัดได้จัดทำเป็นซุ้มและจุดชมวิวให้ถ่ายภาพหลายจุด รวมถึงร้านกาแฟบรรยากาศไทยๆ ให้พักผ่อนหย่อนใจ

ทันทีที่รถจอด เรานึกว่ารถจอดให้ลงมาเดินดูของที่ตลาดนัดซะอีก เพราะมีร้านค้าขายของในวัดกันแน่นขนัด  คนมาแวะเที่ยวมากมาย 










ที่ต่อไปคือ Cocoa Valley Resort  ซึ่งมาตามคำแนะนำของชาวเน็ต  เป็นรีสอร์ทและคาเฟ่ที่มาแรงที่สุดในตอนนี้.  ที่พักและคาเฟ่ของเหล่าช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ ต้นโกโก้ปลูกเอง และนำมาทำช็อกโกแลตจึงรับรองว่าจะได้ทานช็อกโกแลตแท้ๆแสนอร่อย  จุดเด่นของที่นี่คือการทำช็อกโกแลตเอง จากต้นโกโก้ที่ปลูกแบบอินทรีย์ มาตรฐาน Earthsafe  อินทรีย์วิถีไทย ใช้เวลากว่า 3 ปีในการดูแลต้นโกโก้จนได้ผลโกโก้ และนำผลโกโก้จากสวนมาผ่านกรรมวิธีอย่างพิถีพิถัน ตั้งแต่ขั้นตอนการหมัก การตาก ใช้เวลากว่า 1 เดือนในการแปรรูปเป็นเมล็ดโกโก้  แล้วแปรรูปเป็นช็อกโกแลตแท้ 100 %  เป็นส่วนประกอบในเมนูอาหาร เมนูเครื่องดื่มจากช็อกโกแลตสุดอร่อย พร้อมกับนำมาแปรรูปเป็นเครื่องสำอาง ซึ่งสบู่ที่ใช้ในรีสอร์ทนั้นก็ทำมาจากโกโก้ที่ปลูกเองด้วยนะ เรียกได้ว่าที่นี่คือ Chocolate Lover Destination สำหรับคนรักช็อกโกแลตอย่างแท้จริงเลย 

อีกวัดที่ไม่แวะไม่ได้ คือ วัดพระธาตุเบ็งสกัด ตั้งอยู่บ้านแก้ม หมู่ที่ 5 ตำบลปัว อำเภอปัว จังหวัดน่าน เป็นสถาปัตยกรรมไทยลื้อ ที่ได้มีการปรับเปลี่ยน รูปแบบหลายครั้งลักษณะวิหารเป็นทรงสูงแต่หลังคาจะกดต่ำแบบช่างล้านนาเดิม มีลาดบัวที่ฐานตอนล่างของพระวิหาร ด้านข้างของวิหารเจาะหน้าต่างเป็นบานเล็ก ๆ แคบ ๆ หน้าวิหารมีลักษณะเป็น มุขโถงโล่ง ๆ ภายในวิหาร ซึ่งภายในประกอบด้วยเสา เรียงสองแถว ตรงสู่แท่นฐานชุกชี ประตูด้านหน้าวิหาร เป็นประตูใหญ่กว้างและสูงประกอบด้วยลวดลายปูนปั้นผสมผสานระหว่าง ศิลปะเก่ากับใหม่  เจดีย์พระธาตุเป็งสะกัด ความหมายของพระธาตุตามตำนาน หมายถึง สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากบ่อดินที่ใช้ไม้แหย่ ลงไป แล้วไม้ขาดเป็นท่อน ๆ เหมือนมีอะไรมากัดให้ขาด และมีลำแสงเกิดขึ้น เจดีย์เป็นรูปทรงฐานระฆังคว่ำ เป็นมุมแปดเหลี่ยมลดหลั่น กัน เป็นชั้น ๆ ไม่มีลวดลายเป็นศิลปะแบบพะเยา หรือที่เรียกว่าเจดีย์ ทรงพะเยา ซึ่งมีมากที่พะเยา เชียงราย และบริเวณแถบภาคเหนือ ตอนบน ภายในองค์พระเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุซึ่งถือเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชุมชน เป็นสถาปัตยกรรมของช่างน่าน วัดตั้งอยู่บนเนินสูงมองเห็นหมู่บ้านอยู่เบื้องล่าง ด้านหลังเป็นเนินเขา นับเป็นการเลือกสรรชัยภูมิที่ส่งให้วัดดูโดดเด่นเป็นสง่า หากมาช่วง ฤดูฝนจะมองเห็นนาข้าวเขียวขจีของหมู่บ้านเบื้องล่าง







จุดต่อไปคือ ร้านลำดวนผ้าทอ หรือ ร้านกาแฟ บ้านไทลื้อ  ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลศิลาแลง อำเภอปัว  นับเป็นอีกหนึ่ง “ไฮไลต์”ของอำเภอน่าเที่ยวแห่งนี้ ที่นี่ร้านขายของที่ระลึกและผ้าทอไทลื้อ ผ้าทอน้ำไหล ลายโบราณ  ส่วน ร้านกาแฟไทลื้อ  ตั้งอยู่ด้านข้างๆ ร้าน เป็นซุ้มไม้ ด้านหลังมีสะพานไม้ยาว เชื่อมต่อกับร้านลำดวนผ้าทอ เราจะเห็นเห็นวิวดอยภูคา และท้องนาใกล้เคียง  ผ้าทอที่นี่เค้ามีตัดเป็นชุดเสื้อผ้าสำเร็จขายในราคาไม่แพง พวกเราต่างก็อุดหนุนกันคนละหลายชุด  



ก่อนเข้าที่พัก เราตกลงที่จะหาอาหารเย็นทานกันให้เรียบร้อยเลย และร้านที่ต้องแวะคือ ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ มาถึงอำเภอปัว จังหวัดน่าน หากไม่ได้แวะมาลิ้มลองชาติเมนูเห็ดที่ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำก็ถือว่าพลาด! ที่นี่เปิดเป็นร้านอาหารวิวสวยปัง แถมอากาศก็ดี๊ดี นั่งทานอาหารอร่อยชมวิวทุ่งนาทุ่งหญ้าสีเขียว นอกจากเมนูอาหารปรุงจากเห็ดสุดพรีเมี่ยมแล้ว ที่สำคัญทุกเมนูทุกเมนูไม่ใส่ผงชูรส เค้ายังมีคาเฟ่ที่เสิร์ฟสารพัดเมนูอร่อยทั้งกาแฟ โกโก้ น้ำผึ้งมะนาว และอีกสารพัด มาที่เดียวอิ่มครบเลย เนื่องจากได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม  จึงต้องมีการขอบัตรคิว และนั่งรอการเรียกให้ไปนั่งโต๊ะ สั่งอาหารได้เมื่อถึงคิว  

  



อิ่มแล้วก็เข้าที่พักได้แล้ว เรามาถึงที่พักตอนบ่ายแก่ๆ ยังไม่เย็นมากนัก แสงยังพอมีให้ชมความงามยามเย็นได้  เราเลือกพักที่ ฟาร์มสเตย์ ที่พักโรงเรียนชาวนา วิวสวยๆ เห็นทุ่งนาสีเขียวขจี สัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่ต้องพักห้องราคาแพงๆ แค่ที่นี่ ที่พักหลักร้อย ก็ได้วิวหลักล้าน แล้ว!  นอกจาก โรงเรียนชาวนา จะเปิดให้บริการที่พักแล้ว ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ ให้ได้เรียนรู้กันอีกด้วย เช่น เรียนรู้การทำนา ร่วมกับเด็กๆ ตั้งแต่ ไถนา ดำนา เกี่ยวข้าว ฟาดข้าว และปลูกผักปลอดสารพิษ เป็นต้น  

เราจองได้บ้านหลังใหญ่ และบ้านหลังเล็ก เพราะตอนแรกคณะเราใหญ่พอสมควร หลังจองที่พักแล้ว สมาชิกบางส่วนขอถอนตัว แต่ที่พักยกเลิกไม่ได้ ก็เลยให้ 4 คนพักบ้านหลังใหญ่ และ อีก 2 คน พักบ้านหลังเล็ก

วิวสวยงามท่ามกลางทุ่งนาข้าวเขียวขจี สวยจนอยากหยุดเวลาเลย







 











วิวสวยๆจากบ้านหลังเล็ก








 




ได้หลับเต็มอิ่ม สูดโอนโซนเต็มปอด  ตื่นมาพบธรรมชาติแสนสดชื่นยามเช้า  แทบไม่อยากจากไปจริงๆ



 
















 

 




จุดหมายต่อไป คือไป อำเภอบ่อเกลือ  แต่ก่อนไปบ่อเกลือ มีสมาชิก ขอไปออกนอกเส้นทางเพื่อแวะไปดูไร่กาแฟที่  วิสาหกิจกาแฟมณีพฤกษ์ บอกว่าไปไม่ไกลนัก แค่ 60 กม.  หลังจากนั่งรถเวียนขึ้นเวียนลงตามโค้งถนนและผ่านเนินต่างๆ ได้พักนึง ทุกคนก็มีมติกันว่า ไม่ไหว กว่าจะถึงคงอ้วกซะก่อน จังหวะจะเลี้ยวกลับรถ เราก็เห็นบัวตองทุ่งเล็กซ่อนอยู่บนเนินเล็กๆ เท่านั้นทุกคนก็เฮกันลงรถ ไปถ่ายภาพทุ่งบัวตองกัน ชดเชยไร่กาแฟซะเลย












ถึงจะพลาดไร่กาแฟ ก็ได้ไร่บัวตองมาชดเชยแทน ไม่เลวเลย  

จากนั้นเราก็เดินทางต่อ ไปอำเภอบ่อเกลือ ด้วยทางหลวงที่ 1256 ผ่านอุทยานแห่งชาติดอยชมพูภูคา เราแวะจอดรถถ่ายภาพกันที่ จุดชมวิวภูคา 1715  จุดนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1715 เมตรนั่นเอง



 


และในที่สุดเราก็ถึง อำเภอบ่อเกลือ  มาถึงแล้วไม่แวะดูบ่อเกลือสินเธาว์ ก็จะกระไรอยู่  เราแวะจอดรถที่ ตลาดน้ำประชารัฐ บ่อเกลือ  บ่อเกลือสินเธาว์ที่อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ถูกค้นพบว่า มีชั้นหินเกลืออยู่ใต้ดิน เมื่อน้าจืดไหลลงไปจะละลายเกลือและดันออกมาตามพื้นผิวจนเป็นแหล่งน้ำเค็มสำหรับทำเกลือสินเธาว์แห่งหนึ่ง 

เกลือถือว่าเป็นยุทธปัจจัยชนิดหนึ่ง เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการปรุงอาหาร การถนอมอาหาร  ในอดีตจึงทำให้ เจ้านครเชียงใหม่  มีพระประสงค์ยึดครองเมืองน่าน เพื่อต้องการครอบครองบ่อเกลือ จึงยกทัพมาตีเมืองน่าน ยึดเอาเมืองน่าน รวมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนา บ่อเกลือนี้ผลิตเกลือสินเธาว์และนำไปจำหน่ายยังกรุงสุโขทัย เชียงใหม่ เชียงตุง หลวงพระบาง รวมถึงสิบสองปันนาจีนตอนใต้ 






นอกจากบ่อเกลือ ที่เป็นทรัพยากรสำคัญแล้ว อำเภอบ่อเกลือยังมีไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดคือ การพักท่ามกลางธรรมชาติที่ บ้านสะปัน   ห่างจากบ่อเกลือภูเขาประมาณ  9 กิโลเมตร  บ้านสะปัน เป็นชุมชนเล็กๆ แสนสงบ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของขุนเขา มีลำธารไหลผ่าน และในช่วงหน้าฝนฤดูทำนา ยังสามารถชมวิวทิวทัศน์ของนาข้าวเขียวขจีได้อีกด้วย 

เราเลือกพักที่ ไทรวารี รีสอร์ท  ที่พักสไตล์บ้าน ๆ อยู่ท่ามกลางขุนเขา เคล้าไอหมอก มองเห็นทุ่งนา ติดลำธารริมน้ำ เช้าๆเราจะได้เห็นหมอกยามเช้า คลอเคลียทุ่งนา และวิวภูเขา 











วิวสวยๆ จากหน้าห้องพัก












เต็มอิ่มกับธรรมชาติ ในรูปแบบต่างๆแล้ว ก็คงถืงเวลาที่ต้องกลับมาทำงานกันต่อไป วันนี้เราจะกลับมายังตัวเมือง เพราะมีหนึ่งในสมาชิกที่ต้องบินกลับกรุงเทพฯ ตอนบ่ายแก่ๆ 1 คน และช่วงเย็นอีก 1 คน  ขากลับเรากลับทางเส้นทางหลวง 1081 เรายังได้แวะพระตำหนักภูฟ้า ซื้อผลิตภัณฑ์โอท้อปด้วย  บนเส้นทางหลวง1081 ยังมีจุดน่าแวะคือโค้งถนนเป็นเลข 3  




ช่วงบ่ายก่อนส่งสมาชิกอีกคนกลับกรุงเทพฯตอนเย็น ก็มีเวลาเล็กน้อยที่ช้อปปิ้งที่ร้านโอท้อป ข้างวัดภูมินทร์ พวกเราต่างใช้สิทธิ์คนละครึ่งกระหน่ำซื้อของกันอย่างเต็มที่ และยังพอมีเวลาแวะไหว้พระที่ วัดมิ่งเมือง ซึ่งนอกจากตัววัดที่สร้างอย่างสวยงามคล้ายวัดร่องขุ่นแล้ว  ยังเป็นที่ตั้งของ ศาลหลักเมือง ที่สำคัญอีกด้วย .



ยังพอมีเวลา ไปวัดภูมินทร์ และ ซุ้มลีลาวดีที่พิพิธภัณฑ์น่าน อีก 2 จุด 














ส่งสมาชิกทั้ง 2 คน กลับกรุงเทพแล้ว แต่ยังเหลือพวกเราอีก 4 คน ที่ขอพักที่ตัวเมืองน่านต่ออีก 1 วัน  เราคืนรถตู้ และเปลี่ยนมาเช่ารถเก๋งแทน เพราะพรุ่งนี้เราจะเที่ยวกันในตัวเมืองน่าน ก่อนจะกลับกรุงเทพตอนเย็น  

ก่อนหมดวันนี้ ยังพอมีเวลาเหลือให้เราไปต่อ ที่วัดพระธาตุแช่แห้ง อีกที่

วัดพระบรมธาตุแช่แห้งวัดพระบรมธาตุแช่แห้ง  ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองไปราว 2กม.   พระบรมธาตุแช่แห้งปูชนียสถานที่สำคัญของเมืองน่าน มีอายุกว่า 600 ปี  สิ่งที่โดดเด่นคือ  เจดีย์วัดพระธาตุแช่แห้ง มีสีเหลืองอร่ามเนื่องจากบุด้วยแผ่นทองเหลือง งดงามตามสไตล์ล้านนาไทย  ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ  ชาวเมืองล้านนามีความเชื่อกันว่าการ ได้เดินทางไปสักการบูชากราบไหว้นมัสการองค์พระธาตุแซ่แห้งหรือชาวล้านนาจะเรียกกันว่า การชูธาตุ แล้วนั้นจะทำได้รับ อานิสงค์อย่างแรงกล้า ทำให้ชีวิตอยู่ดี มีสุข ปราศจากโรคภัยต่างๆ มาเบียดเบียน หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า






ระหว่างตระเวณเลือกกันว่า มื้อเย็นจะทานอะไรกันดี ผ่านวัดมิ่งเมือง และ วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร ที่อยู่ติดๆกัน ก็ขอหยุดแวะไหว้พระกันสักนิด

วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร อยู่ตรงข้ามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีลิกธาตุไว้ภายใน นับเป็น ปูชนียสถานสำคัญ เป็นเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลทาง ด้านศิลปะสุโขทัย จากเจดีย์ทรงลังกา สิ่งที่โดดเด่นคือ  เจดีย์ช้างค้ำ ซึ่งเป็นศิลปสมัยสุโขทัย อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 รอบเจดีย์มีรูปปั้นช้างปูนปั้น เพียงครึ่งตัว ประดับอยู่โดยรอบ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปทองคำปางลีลา คือ พระพุทธนันทบุรี ศรีศากยมุนี ซึ่งเป็นทองคำ 65 % สูง 145 เซนติเมตร






ที่พักวันนี้ เราเลือกพักที่ โรงแรมเทวราช โรงแรมเก่าแก่ ที่ปรับปรุงใหม่  หน้าโรงแรมเป็นตลาดสด พรุ่งนี้หมายมาดที่จะเดินตลาดเล่นซะหน่อย  มื้อเย็นเราเปลี่ยนบรรยากาศมาทานอาหารญี่ปุ่นกัน เป็นร้านสาขาจากกรุงเทพฯ ราคาไม่แรง สดอร่อยทีเดียว จนมื้อเที่ยงอีกวันเราต้องกลับมาซ้ำกันอีกรอบ

วันสุดท้ายของทริป เราเที่ยวเบาๆในตัวเมือง จุดแรกเราไปที่่ วัดพระธาตุเขาน้อย  

วัดพระธาตุเขาน้อย อยู่ด้าน ตะวันตกของตัวเมืองน่าน องค์พระธาตุตั้งอยู่บนยอดดอยเขาน้อย สามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของตัวเมืองน่าน ปัจจุบันบริเวณลานชมทิวทัศน์ ประดิษฐานพระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพร บนฐานดอกบัวสูง 9 เมตร บนยอดพระเกศาทำจากทองคำหนัก 27 บาท  เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้อย่างงดงาม ในยามเช้าบางวันสามารถมองเห็นสายหมอกบางปกคลุมอยู่เบื้องล่างอีกด้วย 





ออกจากวัดพระธาตุเขาน้อยแล้ว เราไม่พลาดที่จะไปที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน 


 






สุดท้ายขอปิดทริปน่าน ด้วยภาพ พระนางปทุมมาวดีชายาของพญาภูเข็ง เจ้าผู้ครองนครน่านเมื่อราว พ.ศ.1955  ทรงสิริโฉมงดงามมาก





No comments:

Post a Comment

ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......