Saturday, 3 October 2020

แม่สอด ถ้ำสีฟ้า และ อช.แม่เมย

 26-27 Sep 2020


วิกฤตการณ์ โควิท19 ทำให้เราต้องปรับตัวจากการเที่ยวต่างประเทศ เป็นท่องเที่ยวในประเทศแทน แต่ไปที่เดิมๆก็ชักเบื่อ เลยหาที่ดู Unseen และเป็นธรรมชาติสักหน่อย

คุณเกา (จิรชนม์ ฉ่ำแสง)  ชักชวนให้ไปลองดูถ้ำสีฟ้า และ อช.แม่เมยดูทะเลหมอกกัน แรกๆก็อิดออดพอเป็นพิธี เพราะพึ่งกลับจากทริปพังงาได้ 2 วัน จะเที่ยวต่อก็เกรงใจเด็ดแม่ จะค้อนเอา  เลยบอกคุณเกาว่า ขอเป็นตัวสุดท้าย ถ้ามีคนครบแล้วก็ขอบาย แต่ถ้ามีที่เหลือก็ขอไปด้วย สุดท้ายไม่รู้ว่าคุณเกากั๊กที่ไว้ให้ หรือมีที่เหลือ เราเลยได้ที่สุดท้ายของคณะ

เราออกเดินทางโดยรถตู้ จาก กทม. ประมาณ 5 ทุ่ม พี่ติ๊กมือขับเจ้าประจำในทุกทริป เป็นคนที่ขับนิ่มมาก ผ่านโค้งต่างๆมาแบบไม่รู้สึกเลย หลับสบายดื่นอีกที ประมาณตีห้า พี่ติ๊กบอกถึงแม่สอดแล้ว 

เช้านี้เราไปทานโรตีโอ่งในแม่สอด มีมากมายหลายเจ้า มองไปมองมาทั้งร้านอาหาร แม่ค้าในตลาดล้วนเป็นอิสลามทั้งนั้น ประมาณโรหิงญายึดครองแม่สอด แต่เค้าก็ดูเรียบร้อยมีความเป็นคนไทยมากกว่าจะเป็นต่างด้าว นี่แหละชาติไหนก็ตามมาอยู่ในไทย จะโดนย้อมกลายเป็นคนไทยไปหมดทุกเชื้อชาติ เราเลยไม่ต้องมีปัญหาเรื่องการแบ่งแยกเชื้อชาติให้เหนื่อยเหมือนประเทศอื่นๆ







อิ่มหนำกันดีแล้ว ก็ออกเดินทาง จุดหมายแรกของวันนี้คือ ถ้ำสีฟ้า ที่ตั้งคือ สำนักสงฆ์พุทธคยาถ้ำสีฟ้า ่ ตำบล แม่กุ อำเภอแม่สอด ตาก  อยู่ห่างจากอำเภอแม่สอดมาทางใต้ 32 กม. เดินทางไปทางหลวง 1090 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 39 นาที (https://goo.gl/maps/VSrMKbPiyLgpgrud9 )







"ถ้ำสีฟ้า" มหัศจรรย์สีสันธรรมชาติแห่งแม่สอด เมื่อเราเดินเข้าไปภายในถ้ำ จะไม่ค่อยรู้สึกอึดอัด เพราะมีโพรงถ้ำที่ทะลุออกด้านนอกให้อากาศและแสงถ่ายเทเข้าภายในถ้ำหลายจุด โดยไม่ต้องใช้แสงไฟฉาย ลักษณะ ของผนังถ้ำเนื้อหินจะมีลวดลายที่สวยงาม เป็นริ้วซ้อน ๆ กัน รูปทรงมนโค้งแปลกตา 






โดยลักษณะทางธรณีวิทยา ( อ้างอิงจากข้อมูลของ กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  )  ลําดับชั้นหินโดยทั่วไปของพื้นที่ถ้ำ ประกอบด้วย หินแปร และหินตะกอน มีอายุทางธรณีกาลอยู่ในมหายุคพรีแคมเบรียน (>570 ล้านปี)  ในพื้นที่นี้เรียกว่าหมวดหินลานสางไนส์ ลักษณะหินประกอบด้วยหินแปรเกรดสูง เช่น หินควอร์ตโซเฟลดิสปาติกไนส์หินพาราไนส์และหินไบโอไทต์ไนส์ในหินพาราไนส์มีการเรียงตัว และแยกแร่สีเข้มกับสีอ่อนชัดเจนเป็นสีเทาแกมเขียวสลับสีขาวเป็นแถบชัดเจน  







จากทางเข้าด้านหน้า จะพบโถงถ้ำใหญ่ที่แสงผ่านเข้ามาได้ จะสามารถเห็นความงดงามของผนังถ้ำที่เป็นสีเทาฟ้าหม่นๆสลับชั้นริ้วสีขาวอย่างชัดเจน แสงที่ส่องเข้ามาตัดกับความมืดของซอกหลืบ ให้มิติของภาพที่สวยงาม เราสามารถเก็บภาพได้ทุกมุมเลย











ภายในโถงถ้ำจะมี พระพุทธรูปปางไสยาสน์แบบพม่า ให้คนที่เข้ามาได้กราบไหว้ 




จากปลายพระบาทของพระพุทธรูป จะเป็นทางเข้าถ้ำชั้นใน ส่วนนี้ค่อนข้างมืดทีเดียว ต้องใช้ไฟฉายนำทางเข้าไป และส่วนนี้จะเป็นส่วนที่สวยที่สุดอีกส่วนนึง สองฟากทางเดินที่ค่อนข้างแคบ บางจุดต้องตะแคงตัวเดินลอดผ่าน แต่ผนังสีเทาริ้่วสวยตลอดทาง ไม่ลึกนัก  ( ถ้าใครไปคนเดียว หรือขี้กลัว ไม่แนะนำให้เดินเข้าไป เด้วไม่ได้โผล่กลับออกมา 55)

การถ่ายภาพปกติ คงทำได้ยากแทบเป็นไปไม่ได้เพราะมืดมาก ยกเว้นตอนทางวัดเปิดไฟที่ปั่นเองให้ เราโชคดีที่ตอนนั้น พระท่านยังไม่ได้เปิดไฟ ท่านถามเหมือนกันว่าจะให้เปิดไฟให้ไม๊ แต่พวกเราตอบว่า ไม่ต้องเจ้าค่ะ (ท่านก็เข้าใจ เพราะเห็นกลุ่มเรา อุปกรณ์กล้องครบมือ รู้ว่าเราต้องการจัดการเรื่องแสงเองเพื่อให้ได้ภาพที่ต้องการ)  งานนี้ต้องพึ่งไฟฉายที่กำลังสูงๆหน่อย มากกว่า 1 อัน เพื่อวางตำแหน่งไฟตามซอกหลืบ  และฉายกราดไปตามผนังถ้ำ  จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้องเพื่อให้ภาพไม่สั่นไหว ใช้สปีดชัตเตอร์ต่ำนิดนึง เพื่อเก็บแสงที่ไฟฉายกราดตามผนังถ้ำให้ครบ






ภาพแรก(ล่าง) เราวางไฟตามซอกถ้ำ และให้ตัวแบบฉายไฟด้วย แสงที่ได้ยังไม่เพียงพอ ตัวแบบหน้าดำไปนิด และผนังถ้ำมืดไปหน่อย

ภาพที่2 เพิ่มไฟฉายอีกดวง ให้เพื่อนช่วยสาดไปที่หน้าตัวแบบ ผนังถ้ำยังมืด แต่ตัวแบบหน้าสว่างขึ้นแล้ว


ภาพที่ 3 เพิ่มไฟฉายอีกดวง ฉายกราดไปตามผนังถ้ำ ใช้สปีดชัตเตอร์ต่ำเพื่อเก็บแสงให้ครบทั้งหมด


กว่าจะได้แต่ละภาพ ใช้เวลาค่อนข้างนานทีเดียว เล่นเอาแบตถ่านไฟฉายหมดกันเลย ฉะนั้น ควรเตรียมถ่านสำรองไปด้วยเยอะๆ






หอมปากหอมคอ กันพอสมควร จากที่นี่เรากลับเข้ามาที่ตัวเมือง เพื่อหาข้าวกลางวันทานกัน และออกเดินทางมุ่งขึ้นเหนือเพื่อไปต่อที่ อช.แม่เมย 

อช.แม่เมย อยู่ห่างจากแม่สอด 129 กม. ใช้เวลาเดินทางไปตามทางหลวงสาย 105 ประมาณ 2.30 ชม. เราเจอด่านตรวจค่อนข้างถี่ เนื่องจากทางพม่า มีการระบาดของโควิท19 ทางการจึงตรวจเข้มกันคนพม่าหลบหนึข้ามมาฝั่งไทย  ซึ่งน่าจะป้องกันได้ยากมาก เพราะชายแดนมีเพียงแม่น้ำเมยที่ไม่กว้างมากนักคั่นแค่นั้น ลอยคอข้ามมาก็ได้แล้ว และชายแดนยาวมากทีเดียว เราวิ่งเลาะตะเข็บชายแดนมาตลอดทาง ก็ได้แต่ฝากความหวังว่า ด่านต่างๆจะช่วยสกัดไม่ให้คนพม่าที่หลบหนีเข้ามา เล็ดลอดผ่านไปแพร่เชื้อโควิท19 ให้คนไทยต้องเจ็บป่วยกันเลย

มีแวะจุดชมวิวนิดหน่อย พอเห็นแนวของแม่น้ำเมย และ 2 ฝั่ง ไทย พม่า 



คืนนี้เราพักที่บ้านพักของ อุทยานแห่งชาติแม่เมย กัน หลังทานอาหารเย็นเสร็จ ก็แยกย้ายกันเข้าห้องพัก เพราะเหนื่อยกับการเดินทางมาตลอดทั้งวันและทั้งคืน ที่จริงเราวางแผนจะถ่ายดาวและทางช้างเผือก แต่เมฆมาก ฝนปรอยๆตลอดคืน อีกทั้งไม่ใช่คืนเดือนมืด เลยอดไปตามระเบียบ



เช้านี้เรานัดกัน ตีห้าครึ่ง เพื่อไปถ่ายทะเลหมอกที่ ม่อนครูบาใส ห่างออกไป 6.4 กม. ใช้เวลาเดินทาง 10 นาที

ที่ม่อนครูบาใส มีลานให้กางเต้นท์ มีห้องน้ำของอุทยานให้ใช้ด้วย เรียกว่า โผล่จากเต้นท์ก็เห็นวิวทะเลหมอก หรือ นั่งดูทะเลหมอกจากในเต้นท์ก็ได้เลย 












เราชิวชิวกันมาก ใครใคร่ถ่ายภาพก็ถ่ายไป ใครใคร่ดริปกาแฟ ก็นั่งดริปและดื่มกันไป คุณเกาขนชุดชงกาแฟแบบจัดเต็มมาครบชุด ขนมนมเนย มาม่ามีพร้อม











และถ่ายแบบ Time Lapse เพื่อเก็บภาพการเคลื่อนตัวของริ้วเมฆ




จากม่อนครูบาใส เราไปต่อกันที่ ม่อนกิ่วลม อยู่ห่างออกไปจากม่อนครูบาใส 6.4 กม. จุดนี้จะเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามอีกมุมนึง มีลานให้กางเต้นท์ และมีห้องน้ำให้ใช้เยอะด้วย














จากม่อนกิ่วลม เรากลับลงมาแวะที่ น้ำตกแม่ระเมิง ที่เราผ่านมา น้ำตกแม่ระเมิงอยู่ครึ่งทางระหว่างม่อนครูบาใส กับ ม่อนกิ่วลม  เป็นน้ำตกเล็กๆที่สวยงาม อยู่ริมถนนไม่ต้องเดินไกล ปูเสื่อนั่งชมน้ำตกกันริมถนนเลยทีเดียว










เต็มอิ่มกับการถ่ายภาพ และ เต็มกระเพาะจากขนมและของว่าง น้ำชากาแฟร้อนๆพร้อม เราก็กลับมาเก็บของที่พัก เดินทางกลับ แวะทานก๋วยเตี๋ยวอร่อยที่ร้านก๋วยเตี๋ยวไทยป้าหอมจันทร์ อร่อยมากทั้ง น้ำและแห้ง ขากลับแวะซื้อของฝากกันเล็กน้อย ที่ตลาดชาวเขาดอยมูเซอ 

ขอจบทริปแม่สอดแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณภาพบางส่วนของ คุณจ้อย (ฤทัยรัตน์ ฉ่ำแสง เอ้ย.. พวงแก้ว ) ที่คอยเก็บภาพเบื้องหลัง และภาพชาวคณะตลอดทริป



No comments:

Post a Comment

ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......