Friday 14 June 2013

ท่องแคว้นราชสถาน อินเดีย ตอน เมืองสีชมพู (Jaipur)



Jaipur,Rajasthan,India

Jaipur, the largest city of Rajasthan is an epitome of magnificence and vibrancy. This city was established in 1727 by Jai Singh II, and is India's first planned city. Jaipur was the capital of former Kachwaha rulers and it so presents itself as a versatile tourist destination. This royal place is rich in heritage, culture and architecture. With splendid fortresses, majestic palaces, tranquil temples and beautiful havelis; Jaipur turns out to be an ideal tourist destination. It is not just the royal buildings and palaces that this city offers. Other than these captivating attractions, Jaipur displays exquisite handicrafts and spectacular jewellery. These intricate works of art add life and colour to this Pink City's uniqueness. Also, the serenity of lush gardens and floral array acts as the cherry on the cake of fabulous landscapes. All this make a picturesque view that tends to enthral any visitor.

The best time to visit this place is between October and March. Since the weather is pleasant during these months, that allows one to explore more of this place without getting scorched in the seething heat. This city of Rajputs is well known for its fairs and fests that are held on a grand level. The festivals include kite festival, camel festival, teej, gangaur, elephant festival, to name a few. The city witnesses maximum tourists during these days. To add on to its liveliness, this place has brilliant bazaars filled with bright turbans and ethnic attire, hand-dyed and embroidered textiles, pretty jewellery and delicious food. All these things can draw anyone towards them. Dressed in pink, this royal city of Rajasthan, Jaipur is the apt blend of heritage, palaces, culture and art and the flamboyance of this place can be experienced only by visiting it.
From ....  http://www.jaipur.org.uk/



ทริปท่องแคว้นราชาสถาน เราเดินทางไปเยี่ยมชมแล้ว 2 เมือง คือ

เมืองสีทอง จัยซัลแมร์ http://somersetmghm.blogspot.com/2013/05/jaisalmer.html
เมืองสีฟ้า จ๊อดปูร์ http://somersetmghm.blogspot.com/2013/06/jodhpur.html

เมืองที่สามและคงเป็นเมืองสุดท้ายของแคว้นราชาสถานสำ หรับทริปนี้ คือเมืองสีชมพู จัยปูร์
เสียดายเหมือนกันที่มีเวลาและทรัพย์สำหรับเดินทางแค่ นี้ ยังมีเมืองอื่นๆในแคว้นราชาสถาน ที่มีความสวยงามและอลังการไม่ยิ่งหย่อนกว่าเมืองทั้ง สามเมืองนี้ โอากาสหน้าฟ้าใหม่คงมีวาสนาได้ไปเที่ยวให้ทั่วแน่นอน



วันนี้เป็นวันที่ห้า สำหรับทริปการเดินทาง เช้านี้เรานัดรถมารับพวกเรา 7.30 น. เพื่อออกเดินทาง แท๊กซี่มารับตรงเวลาดีมาก แต่คนขับดูยับๆยังไงชอบกล เช่นเคยขึ้นรถเราก็ต้องบอกให้คนขับช่วยเปิดแอร์ให้เห มือนเดิม นั่งดูสองข้างทางที่ผ่านชุมชนเป็นระยะๆ เราใช้เวลาเดินทางไปจัยปูร์ประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆ ถนนค่อนข้างดีลาดยางตลอดทางรถน้อย แต่คนที่นี่ขับรถไม่เร็วมาก อาจเพราะถนนแคบและมักจะมีฝูงสัตว์เดินอยู่บนถนนประจำ

ขับมาได้สักพัก ถึงชุมชนใหญ่คนขับก็จอดรถริมทางกลางสี่แยกที่จอแจด้ว ยผู้คน หันมาบอกพวกเราว่า จัย จัย ชี้ให้ดูร้านตรงข้ามที่เหมือนร้านกาแฟริมทางบ้านเราแ ต่มีคนแน่นขนัด โดยไม่ฟังว่าพวกเราจะตอบว่ายังไง คนขับก็เปิดประตูรถเดินข้ามถนนไปยังร้านที่ชี้ให้เรา ดู

คุณเกา เลยลงไปด้อมๆมองๆดู และกลับมาถามว่าเราจะเอาจัยคนละแก้วไม๊ แต่คนแน่นมากคงต้องรอสักพัก เราเลยเลือกน้ำเย็นดีกว่า เลือกน้ำมะม่วงยอดนิยม ส่วนน้ายักษ์ขอน้ำมะนาวโซดา



นั่งมองความวุ่นวายสักพัก ก็งัดเอาคอมแพคเก็บภาพรอบๆรถที่จอดสักหน่อย





 ระหว่างที่นั่งรอในรถ ก็จะมีเด็กเล็ก 2 คน ป้วนเปี้ยนรอบรถขอเงินขอขนม





ในขณะเดียวกัน ก็มีป้าแก่ๆคอยไล่เด็ก และตัวเองก็ป้วนเปี้ยนขอเงินแทน

เรายังไม่กล้าให้ใครทั้งนั้น เพราะไม่รุ้ว่าให้แล้วจะโดนรุมขอหรือไม่ กะว่ารถใกล้จะออกค่อยให้ขนมเด็ก ระหว่างนี้ก็นั่งมองเด็กคอยหาจังหวะมาขอเงิน พอป้าแก่เดินวนมาอีกฝากของรถ เด็กก็จะมาขออีกด้าน และป้าแก่ก็คอยไล่เด็ก

ป้าแก่ เราไม่สงสารหรอก แต่เด็กๆเห็นแววตาแล้ว โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กเห็นแววตาแล้วสมเพชมาก ตัวเล็กแค่นี้ต้องผจญความทุกข์ยากของชีวิตขนาดนี้แล้ ว ตัดสินใจรอจังหวะป้าแก่เผลอเปิดประตูรถยื่นอมยิ้มให้ หนูน้อยไป 2 แท่งกับเด็กโต พอเด็กได้อมยิ้มรีบคว้าและจูงน้องวิ่งแนบไปหาที่กินข นมทันที



แค่ก้าวแรกที่แตะชายเมืองจัยปูร์ เราก็ได้ภาพไลฟ์แล้ว และตลอดเวลา 2 วันที่อยู่ที่เมืองจัยปูร์ เราเดินตระเวณในเมืองเข้าซอยโน้นออกซอยนี้ เก็บภาพไลฟ์เยอะมาก

ชุดนี้จะเป็นแนวไลฟ์ซะเป็นส่วนใหญ่ สลับฉากกับชุดก่อนๆที่มีแต่แนวสถาปัตยกรรมนะคะ

หลังจากคนขับรถหายไปสักพัก ก็กลับมาที่รถ เราออกเดินทางกันต่อสักพัก คนขับก็แวะจอดที่ร้านอาหารริมทางเป็นร้านใหญ่ แต่คงเป็นร้านริมทางสำหรับคนที่นี่พักรถทานอาหารกัน ไม่ใช่สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างพวกเราแน่นอน

แต่ดูสภาพแล้วสะอาดน่าใช้ได้ พวกเราตกลงเข้าไปนั่งทานอาหารเช้าและเช่นเคยควบมื้อก ลางวันไปด้วยในตัว

เช่นเคยคณะเราได้รับการสนใจจากผู้คนในร้านแบบเปิดเผย และแบบสนใจว่าพวกเราจะสั่งอะไรและจะทานอาหารในแบบของ พวกเขาได้หรือไม่ พวกเราเข้าเมืองตาหลิ่วแล้วนี่... บ๋อยที่นำเมนูมาให้สั่ง ก็คงช่วยลุ้นด้วยคอยแนะนำว่าควรสั่งอะไร คุณเกาในฐานะมาอินเดียบ่อยมากทำหน้าที่สั่งอาหาร

เราได้อาหารมา 3-4 อย่าง ทุกอย่างเป็นมังสวิรัติ
อย่างแรกเป็นแผ่นแป้งข้าวโพดโรยด้วยผักสด รสชาดเบาๆพอทานได้อร่อยดี
อย่างที่สอง เป็นแกงถั่วเละๆ หน้าตาไม่น่าชวนชิม แต่ลองดูก็อร่อยดีมันๆ
อย่างที่สาม เป็นแกงผักรวมและชีสเละ ก็อร่อยดี

พออาหารวาง ก็เป็นช่วงเวลาหยุดนิ่ง ทุกกิจกรรมในร้านหยุดชั่วขณะ คนในร้านที่มีไม่มากนักหันมาสนใจพวกเรา และบ๋อยก็ยืนดูพวกเราว่าจะทานอาหารของพวกเค้าได้ไม๊ จะทานกันอย่างไร หลังจากเห็นเราหยิบแป้งนาน(แผ่นแป้งหนาๆคล้ายโรตี) มาจิ้มอาหารทาน บ๋อยถามว่าเป็นอย่างไร เรายกนิ้วให้ทำนองอร่อยใช้ได้ แค่นั้นบ๋อยก็ยิ้ม

เวลาที่หยุด ก็เดินตามปกติ คนในร้านก็เลิกสนใจพวกเรา....
ก็ขำๆดี ไม่รำคาญเลยเวลาที่พวกเขาสนใจหรือดู เพราะเรารู้ว่าพวกเค้าสนใจและห่วงใย ในทุกครั้งที่พวกเราต้องการความช่วยเหลือ เช่นถามทาง หรือ ถามอะไรที่ไม่รู้ หรือขอถ่ายภาพพวกเขา เราจะได้รับการบริการที่ดูกระตือรือร้นและเต็มใจแบบเ กินพอดีจากทุกคนในทุกๆครั้ง เป็นความประทับใจเล็กๆน้อยๆที่ได้รับจากเจ้าของบ้านใ นฐานะแขกผู้มาเยือน





 อิ่มดีแล้ว ก็ออกเดินทางต่อ ตอนนี้คนขับดูหล่อเหลาขึ้น คงฉวยโอกาสตอนเราทานอาหารไปเปลี่ยนเครื่องทรงที่ยับย่นใหม่ หน้าตาสะอาดเกลี้ยงเกลาขึ้น สงสัยตื่นขึ้นมาก็มารับพวกเราไม่ได้ล้างหน้าเปลี่ยนชุด หรือ ควบกะก็ไม่รู้ แต่ขับรถดีนิ่มและนิ่ง นอนหลับกันได้สบายไม่หวาดเสียว

เรามาถึงจัยปูร์ประมาณเกือบบ่ายโมง หลังจากวนถามทางไปโรงแรมที่คุณเกาหมายตาเอาไว้า เราก็เดินทางถึงโรมแรมชื่อ Jai Nwas (www.jainiwas.com) เป็นโรงแรมเล็กๆเก่าๆสไตล์บูติก การบริการที่หลงเหลือเค้าแบบมืออาชีพ ที่เมื่อก่อนตอนรุ่งเรืองคงเป็นโรมแรมมีเกรดมีระดับพ อสมควร ตอนนี้สภาพเก่าทรุดโทรมแต่ก็มีเค้าว่าเคยรุ่งเรืองมาก่อน

หลังจากเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย เวลาบ่ายโขแล้ว ตกลงกันว่า วันนีเราเดินเล่นในเมืองไปพระราชวังสายลมและพระราชวั งใกล้กัน

เดินออกจากโรงแรมมายังปากซอย รอรถแท๊กซี่หรือตุ๊กตุ๊กพักใหญ่ๆ รถพอหาได้วิ่งไปวิ่งมาแต่โบกมือเรียกไม่ยอมหยุดรับ ถามคนแถวๆนั้นได้ความว่า วันนี้รถแท๊กซี่ทั้งเมืองหยุดรับผู้โดยสารประท้วงตำร วจ 555 ทันสมัยเหมือนกัน แต่ประท้วงทำไมไม่หยุดวิ่ง ยังวิ่งไปวิ่งมาให้ปวดใจเล่น พลาญน้ำมันด้วย

คนแถวนั้นแนะนำให้พวกเรานั่งรถเมล์แทน บอกเลขรถให้ด้วย เอาทดลองดู เด้ว...ไม่ถึงอินเดียจริง 555

เราขึ้นรถเมล์สาย5 เป็นรถกระป๋องคันเล็กๆแบบรถมินิบัสบ้านเรา คนไม่ค่อยเยอะนัก แต่รถเมลล์ที่นี่ก็แปลกจะจอดก็ไม่ยอมจอดสนิท ผู้โดยสารต้องใช้จังหวะในการก้าวขึ้นและรีบจับราวให้ เร็ว

เช่นเคย...คณะเราเป็นเป้าสายตาของคนทั้งรถ และเราก็ได้สิทธิ์พิเศษครั้งแรก กระเป๋ารถไล่ให้เด็กชายวัยรุ่นลุกขึ้นและเรียกให้เรา ไปนั่ง เด็กก็ยอมลุกขึ้นโดยดี เราก็ขอบคุณทั้งกระเป๋าและเด็กที่ลุกให้



พวกเราลงรถที่สี่แยก และเดินมายังพระราชวังสายลม ระยะทางน่าจะประมาณครึ่งกิโลหรือร่วมกิโลประมาณนี้แหละ ระหว่างทางจะผ่านร้านค้าริมทาง เพราะเป็นชุมทางใหญ่ที่คนมาต่อรถ จึงคับคั่งด้วยรถ ด้วยคน ด้วยร้านค้า

เดินไปถ่ายภาพริมทางไป จึงไม่รู้ว่าเดินไกลแค่ไหน






 บอกความลับนิดนึง เมืองจัยปูร์นี่ หนุ่มๆในเมืองหล่อเหลาคมเข้มมาก เป็นที่เพลิดเพลินไม่น้อยสำหรับการถ่ายภาพไลฟ์ที่นี่ ฉะนั้นภาพส่วนใหญ่จะเป็นภาพหนุ่มๆนะคะ คงไม่ว่ากัน อิอิ

และขอยืนยันว่า คนอินเดียส่วนใหญ่อัธยาศัยไมตรีดีมาก และชอบถ่ายรูปมาก บางที่เราเดินผ่านเห็นขรึมๆก็ไม่กล้ายกกล้องถ่าย เค้ากลับทำท่าให้เราถ่ายภาพให้ซะเอง ที่สำคัญถ้ามีลูกหลานเล็กๆใกล้ๆมักขอให้เราถ่ายภาพเด็กๆให้ แค่นั้นไม่มีตื้อขอรูปขอให้ส่งรูปให้




อุณหภูมิที่นี่ วันนี้เวลานี้ ก็ยังสูงไม่แพ้เมืองก่อนๆที่ผ่านมา แต่ดูผู้คนก็ปรับตัวอยู่กับอากาศร้อนๆได้เป็นอย่างดี




 พวกเราก็ยังเหมือนเดิม คือ ซื้อน้ำดื่มขวดต่อขวด คือซื้อมาแล้วก็เดินไปดื่มไป หมดก็ซื้อใหม่ทันที เหงื่อที่ออกก็ระเหยไปอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าไม่เหม็นหรืออับชื้น





  
มัวแต่พาเดินชมเมือง ลืมเล่าประวัติเมืองนี้ไปค่ะ

เมืองจัยปูร์ (Jaipur) หรือชัยปุระ รัฐราชสถาน ตั้งอยู่ทางตะวันตกของอินเดีย ได้รับการสถาปนาเป็นราชธานีของแคว้นราชาสถานตั้งแต่ป ี ค.ศ.1728 ในสมัยของมหาราชา Jai Singh II โดยได้โปรดให้ย้ายราชธานีจากเดิมที่ Amber Fort ซึ่งอยู่บนเนินเขาสูง ลงมายังบริเวณที่ราบซึ่งเป็นตำแหน่งของจัยปูร์ปัจจุบ ัน

เมืองจัยปูร์ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองที่มี ขนาดใหญ่ที่สุดในแคว้นราชสถาน เมืองนี้จัดได้ว่าเป็นเมืองที่มีการออกแบบผังเมืองได ้ดีที่สุดเมืองหนึ่ง ตัวเมืองถูกออกแบบวางผังให้เป็นเสมือนเมืองแห่งเทพเจ ้าเป็นเมืองแห่งพระอาทิตย์ ตามแผนภูมิของจักรวาล โดยมีพระราชวังเปรียบเสมือนพระอาทิตย์ บ้านเรือนตัวเมืองก็ถูกวางผังให้กระจายออกไปเหมือนหม ู่ดาว โดยวางผังเมืองเป็นรูปตารางตัดกันโดยแต่ละบล็อคห่างก ัน 7 ช่วงตึก คั่นด้วยถนน ผังรูปสี่เหลี่ยมสัญลักษณ์แสดงถึงทวีปทั้งเก้าในจักร วาล รอบนอกมีกำแพงสูงใหญ่พร้อมประตูเมืองทั้งเจ็ดรายรอบ สิ่งปลูกสร้างโดยเฉพาะในบริเวณตัวเมืองเก่านั้นได้รั บการทาสีให้เป็นสีชมพู แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเยือนกลับมองว่ามันเป็ นสีส้มๆแดงๆมากกว่าชมพู

สาเหตุที่เมืองแห่งนี้ถูกอาบด้วยสีชมพูนั้นก็เนื่องจ าก ในสมัยของมหาราชา Ram Singh อินเดียยังเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เพื่อต้อนรับกษัตริย์ Edward VII จากสหราชอาณาจักร (ในสมัยที่ดำรงพระยศเป็น Prince of Wales ) เมื่อปี ค.ศ.1853 จึงมีรับสั่งให้ราษฎรทาสีบ้านเรือนเป็นสีชมพู เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่กษัตริย์เจ้าอาณานิคม ณ.ใจกลางเมืองเป็นที่ตั้งของซิตี้พาเลซ ซึ่งกินพื้นที่หนึ่งในเจ็ดของเมืองเลยทีเดียว 






 เดินไปถ่ายไป ก็เดินมาจนถึง พระราชวังสายลม

พระราชวังสายลม (Hawa Mahal)หรือ Palace of the wind ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายพระราชวังที่อยู่ในกำแพงเมืองของ นครสีชมพู พระราชวังสายลมเคยเป็นฮาเร็มของมหาราชา มีลักษณะเป็นอาคาร 5 ชั้น สร้างด้วยหินทรายออกแดงคล้ายสีปูนแห้ง เป็นรูปแบบของสถาปัตยกรรมสไตล์เปอร์เซียกับโมกุล ที่สวยเด่น คือ ลวดลายฉลุหินตามหน้าต่าง ช่องระบายอากาศที่บรรดานางสนมในวังใช้เป็นที่แอบดูชี วิตความเป็นอยู่ของ สามัญชนทั่วไป และประโยชน์อีกอย่างคือเป็นช่องแสงและช่องลมมีช่องหน ้าต่างจำนวนมากถึง 152 ช่อง

น่าเสียดาย กำลังอยู่ในช่วงการบูรณะซ่อมแซม งั้นเราเดินอ้อมไปเข้าชมทางเข้าด้านหลังดีกว่า

 The renowned 'Palace Of The Winds', or Hawa Mahal, is one of the prominent tourist attractions in Jaipur city. Located in the heart of Jaipur, this beautiful five-storey palace was constructed in 1799 by Maharaja Sawai Pratap Singh who belonged to Kachhwaha Rajput dynasty. The main architect of this palace built of red and pink sandstone, is Lal Chand Ustad and the palace is believed to have been constructed in the form of the crown of Krishna, the Hindu god. Considered as an embodiment of Rajputana architecture, the main highlight of Hawa Mahal is its pyramid shape and its 953 windows or 'Jharokhas' which are decorated with intricate designs. The main intention behind the construction of the Mahal was to facilitate the royal women and provide them a view of everyday life through the windows, as they never appeared in public. Read further to know more about Hawa Mahal, its history, architecture and its visiting hours.







 เราเดินอ้อมมาด้านหลังที่เป็นทางเข้าพระราชวัง แต่..พวกเราไม่รู้จักจำ สถานที่ราชการเค้าปิดสี่โมงเย็น เรามาถึงสี่โมงเย็นพอดี เค้าปิดไม่ให้เข้าแล้ว





 เข้าไม่ได้ ปรับแผนใหม่เป็นการเดินถ่ายภาพในเมืองแทน ไม่ได้เตรียมแผนจะเดินยาวๆเป็นเรื่องเป็นราวจึงไม่ได ้เตรียมข้อมูลว่าควรเดินจากไหนไปไหน แต่จำได้คร่าวๆว่า ตอนอ่านประวัติเมืองทราบว่า เค้ามีการจัดวางผังเมือง โดยแบ่งประเภทของอาชีพพลเมือง ให้แต่ละอาชีพอยู่รวมกันเป็นบล๊อกๆไป

ประเด็นคือ เราคงไม่เดินดูทุกอาชีพ แต่อยากดูบางอาชีพ เช่น อาชีพปั้นหม้อ อาชีพแกะสลัก ถามชาวเมืองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับผังเมือง คงรู้เท่าที่รู้ว่าจะไปซื้อของอะไรได้ที่ไหน

เราก็ออกเดินดุ่มสุ่มกันไปแล้วกัน




 ระหว่างทางเส้นทางข้างทางเราก็พบ อาชีพที่แตกต่างกันไป เช่น อาชีพรับปะหม้อทองเหลือง คนขายขนมที่่ทำทีเยอะแยะวางขายสูงเป็นภูเขา อาชีพขายผ้าที่ดูจะขายดีมีลูกค้าสาวๆเต็มร้าน

เจอร้านป้ารูปข้างล่าง รับรีดผ้า ยังใช้เตารีดโบราณที่ใช้ถ่านไฟร้อนๆแทนการใช้ไฟฟ้า




 เราเดินไปจนเจอชุมชนมุสลิม





 เจอผู้สูงอายุที่นั่งอยู่หน้าบ้าน ล้วนยินดีให้เราเก็บภาพ บางคนเห็นภาพหลังกล้องก็ส่ายหัวชอบใจ






บางคนนั่งคุยกันเป็นหมู่คณะ พอเห็นพวกเราก็หยุดคุยเต๊ะท่าให้ถ่ายภาพสนุกสนาน 








 เราน่าจะเดินผ่านชุมชุนที่ทำอาชีพแกะสลักหินอ่อน เห็นแล้วนึกถึงชุมชนแกะสลักหินอ่อนที่มัณฑะเลย์ พม่า คล้ายๆกันแบบนี้




 เดินกันตั้งแต่ตะวันแรงแสงกล้า จนแสงโรย และแสงหมด เดินจนขาเริ่มเป๋พันกัน ขอเรียกสามล้อให้ปั่นไปส่งโรงแรมแล้วกัน

เย็นนี้ไม่ไหวแล้ว ขอใช้บริการห้องอาหารของโรงแรม ทานมังสวิรัติอีกซักมื้อ พรุ่งนี้เราจะไปชมป้อมอัมเบอร์และบ่ายจะกลับมาพระราช วังในเมืองกันอีกที



 คืนนี้หลังอาบน้ำเสร็จ ต่างคนต่างก็นอนกันเงียบ เหลือเพียงคุณเกาหัวหน้าคณะ ที่มีภาระต้องปั่นต้นฉบับส่งให้ทัน เพราะหลังจากส่งพวกเรากลับแล้ว คุณเกาจะเดินทางต่อขึ้นเหนือไป Valley of Flower บนนั้นไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไฟฟ้าก็ต้องปั่นเอง จึงรีบเคลียร์ที่ค้างให้จบ

เช้านี้เป็นวันที่เจ็ดของทริป พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายของการเที่ยวชมอินเดีย ตลอดหกวันที่ทรหดเดินกันไม่น้อยกว่า 5-6 ชั่วโมงในแต่ละวัน เริ่มส่งผลบั่นทอนพละกำลัง ใจนึงก็อยากนอนยาวๆ อีกใจก็เสียดายอยากไปต่อ ในที่สุดใจแบบหลังก็ชนะ อีก 2 วัน เราก็ได้พักแล้ว สู้ สู้

หนุ่มๆ เค้าคงแรงดีไม่มีตก ไม่เห็นบ่นเห็นพูดอะไร หรือ คุมเชิงกันก็ไม่รู้ 555

เช้านี้ หลังทานอาหารเช้าในโรงแรม แบบบุพเฟ่ต์มังสวิรัติ ที่มี มูสลีโยเกิร์ต ขนมปังปิ้งทาเนยหรือแยม แซนด์วิชเนยแข็งที่อร่อยทีเดียว และอะไรที่บ้างจำไม่ได้ เพราะทานไม่ค่อยลงทั้งที่รสชาดดีอร่อย แต่มันร้อน เหนื่อย และ หิวแต่น้ำ ทำให้ไม่ค่อยเจริญอาหารเท่าไหร่นัก

หน้าโรงแรม นกร้องเจี้ยวแจ้ว แบบไม่เกรงใจคน เพราะคนไม่ทำอะไร หยิบ 70-300 มม. ออกมาส่องหานก แต่อยู่สูงได้ไม่ค่อยชัด






 วันนี้รถแท๊กซี่ยังงอนประท้วงตำรวจอยู่เหมือนเดิม จึงนั่งรถเมลล์ไปลงที่แถวพระราชวังสายลม เผื่อหาแท๊กซี่ไปป้อมอัมเบอร์ได้แถวๆนั้น

แวะดูด้านหน้าพระราชวังสายลมอีกครั้ง แสงวันนี้ตุ่นๆ พระอาทิตย์ไม่สาดแสง ระหว่างนั้นมีหนุ่มแถวนั้นมาชวนพวกเราคุย เห็นหน้าตาหล่อเหลาดี เลยขอให้คุณเกาถ่ายภาพคู่สักหน่อย อิอิ



 เราหาแท๊กซี่ไม่ได้ แต่หนุ่มหล่อคนนั้น แนะนำให้พวกเรานั่งรถเมล์ที่มีหลายสายราคาถูกด้วยแค่ คนละ 10 รูปีเอง โชคดีรถเมล์คันที่เพวกเราขึ้นคนน้อยนิดเดียวแค่นี้เอ ง




 จากตัวเมืองไปยังป้อมอัมเบอร์ไม่ไกลนัก แค่ 15 นาที ก็ถึงแล้ว

"ป้อมแอมเบอร์" (Amber Fort) จะอยู่ห่างจากตัวเมืองจัยปูร์ราว11 กิโลเมตร เป็นอดีตที่ตั้งเมืองหลวงเก่าแก่ของนครสีชมพูในสมัยแ รกๆ จึงต้องมีการสร้างกำแพงและป้อมปราการเพื่อป้องกันศัต รู

มีพระราชวังแอมเบอร์เป็นปราสาทขนาดมหึมาอยู่บนยอดเขา สูง อันเป็นส่วนหนึ่งของแนวป้อมปราการ ที่มีกำแพงเมืองทอดยาวเลื้อยคดเคี้ยวไปตามแนวเขาเหยี ยดยาวกว่า 13 กิโลเมตร พระราชวังแอมเบอร์สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1592 โดยมหาราชาแมนสิงห์ที่ 1 แห่งกองทัพพระเจ้าอัคบาร์ กษัตริย์มุสลิมแห่งราชวงศ์โมกุล มีลักษณะเป็นป้อมปราการหินทรายแดงเป็นศิลปะสถาปัตยกร รมผสมผสานของทั้งโม กุล(อิสลาม) และ ฮินดูที่เข้ากันอย่างลงตัว
ตัวพระราชวังจะอยู่ด้านในสุดของป้อมปราการ รายล้อมด้วยซุ้มประตู สวนหย่อม ด้วยความที่ตั้งอยู่ในที่สูงจึงสามารถมองแห่งทิวทัศน ์ของเมืองได้อย่างดีเยี่ยม

The Amer Fort is situated in Amer, which is 11 kilometers from Jaipur. Amer, originally, was the capital of the state before Jaipur. It is an old fort, built in 1592 by Raja Man Singh. This fort is also very popularly known as the Amer Palace. The Amer Fort was built in red sandstone and marble and the Maotha Lake adds a certain charm to the entire Fort. Though the fort is quite old and may even look so from the outside, it is beautiful on the inside and boasts of various buildings of prominence like the 'Diwan-i-Aam', the 'Sheesh Mahal' and even the 'Sukh Mahal'. The Amer Fort has influences of both Hindu and Muslim architecture. This fort also has the 'Shila Devi' Temple and the 'Ganesh Pol' which is a gate that leads to the private palaces of the kings. The Amer Fort has many pavilions and halls of great interest and other popular attractions.






 เห็นบันไดทางขึ้นและระยะทางแล้ว ตอนนั้น ถ้ามีสตาร์บัคเปิดแถวนั้น คงงอแงไม่ยอมขึ้นแน่ๆ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าเดินไปเรื่อยๆ ไม่ไหวค่อยว่ากัน เดินไปเดินมาก็เดินถึงยอดสุดของป้อมได้เหมือนกันนะ ไม่อยากจะคุย 555







 ค่าบัตรผ่านประตู ราคาจะรวมพระราชวังในเมืองจัยปูร์อีก 3-4 แห่งด้วย ฉะนั้นต้องเก็บบัตรไว้ให้ดีอย่าให้หาย

เราเดินไปเก็บภาพไป บางจุดก็แวะเก็บภาพนานเกินเหตุ ไม่ช่ายอาราย มันเมื่อยอะ แต่ความร้อนก็เร่งให้เราต้องเดินต่อไป






 ที่สุดของความเพียรไม่ช้าไม่นาน เราก็บรรลุถึงกำแพงป้อม รางวัลแห่งความเพียรคือความงามของพระราชวังที่เราจะไ ด้สัมผัสนะบัดนี้

ที่จริงทางขึ้นก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักนะคะ เดินมาเรื่อยๆถ้าอากาศดีๆ แป๊บเดียวก็ถึงกำแพงป้อมแล้ว ที่บรรยายมานั้นโม้ทั้งเพนะคะ อย่าท้อ จนข้ามไม่ไปนะคะ ที่นี่คือไฮไลท์ของจัยปูร์ทีเดียว ถ้าไม่มาก็เหมือนมาไม่ถึง เสียเที่ยวทีเดียว ส่วนภาพกำแพงที่เหมือนกำแพงเมืองจีน เป็นอีกฝากของเขา แนวกำแพงของป้อมที่ยาวทอดไปตามภูเขาสำหรับป้องกันเมื องจากการรุกรานของเมืองข้างเคียง

ทั้งนี้เพราะในอดีตแคว้นราชสถาน แบ่งเป็นอาณาจักรถึง 7 อาณาจักร แต่ละอาณาจักรก็รบรากันเองใครอ่อนแอก็โดนอีกฝ่ายช่วง ชิงยึดเมือง ฉะนั้นแต่ละเมืองก็จะมีการสร้างป้อมสร้างปราสาทใหญ่โ ตเพื่อป้องกันตนเอง และแสดงแสนยานุภาพอันเกรียงไกรของอาณาจักรตนเองด้วย ซึ่งเราก็ได้ไปเห็นมาแล้ว 2 เมืองที่ผ่านมา





 หลังจากซื้อตั๋วเข้าชมราคา 350 รูปี ซึ่งรวมการเข้าสถานที่ 5 แห่ง คือ Amber Palace , Arbert Hall , Jantar Mantar , Nagargarh Fort , Hawa Mahal ซึ่งในวันนี้เราสามารถไปได้แค่ 3 แห่งเท่านั้น



 
 เมื่อผ่านประตูทางเข้าวัง Amber เราก็ได้พบพระราชวังที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งปรากฏต่ อหน้า

พระราชวังแอมเบอร์เป็นปราสาทขนาดมหึมาอยู่บนยอดเขาสู ง อันเป็นส่วนหนึ่งของแนวป้อมปราการ ที่มีกำแพงเมืองทอดยาวเลื้อยคดเคี้ยวไปตามแนวเขาเหยี ยดยาวกว่า 13 กิโลเมตร พระราชวังแอมเบอร์สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1592 โดยมหาราชาแมนสิงห์ที่ 1 แห่งกองทัพพระเจ้าอัคบาร์ กษัตริย์มุสลิมแห่งราชวงศ์โมกุล มีลักษณะเป็นป้อมปราการหินทรายแดงเป็นศิลปะสถาปัตยกร รมผสมผสานของทั้งโม กุล(อิสลาม) และ ฮินดูที่เข้ากันอย่างลงตัว





 ตัวพระราชวังจะอยู่ด้านในสุดของป้อมปราการ รายล้อมด้วยซุ้มประตู สวนหย่อม ด้วยความที่ตั้งอยู่ในที่สูงจึงสามารถมองแห่งทิวทัศน ์ของเมืองได้อย่างดี




ลวดลายจิตรกรรมบนตัวพระราชวังงดงามสวยงาม







ห้องอาบน้าแบบ Turkish Baths ของมหาราชา

พระราชวังนี้มีระบบส่งน้ำ นำน้ำจากด้านล่างขึ้นมาใช้บนเขาด้วย ช่องชักน้ำขึ้นมายังห้องอาบน้ำของมหาราชาคงใช้แรงงาน คนมิใช่น้อย เพียงเพื่อให้มหาราชาได้มีน้ำอาบ นอกจากห้องอาบน้ำติดๆกันก็เป็นห้องส้วม ที่บอกได้จากกลิ่นที่ไม่ต้องมีคำบรรยาย 







ห้องที่โดดเด่นสวยงามอลังการสุดๆ ในพระราชวังแอมเบอร์ก็คือท้องพระโรงใน ที่เรียกว่า "Jain Mandir" ห้องประกาศศักดาแห่งชัยชนะ ผนังและเพดานประดับด้วยกระจกชิ้นเล็กๆประดับเรียงเป็ นรูปดอกไม้ แจกัน อันละเอียดลออตา










ครอบครัวนี้ ถ้าดูจากการแต่งกายน่าจะเป็นมุสลิม มายืนถ่ายภาพหมู่ตรงจุดที่เรากำลังเก็บภาพ ก็เลยต้องหยุดถ่ายรอให้ถ่ายกันเสร็จและว่างก่อน อยู่ๆบรรดาป้าๆก็กวักมือเรียกให้มาเข้าหมู่ถ่ายภาพร่ วมด้วย เอ้า....ถ่ายก็ถ่าย ก็เลยส่ง iPhone ให้คนถ่ายช่วยถ่ายให้ด้วยซะเลย ถ่ายเสร็จบรรดาป้าๆก็ขอจับมือเช็คแฮนด์ด้วยแบบยินดีป รีดา 555 เป็นซุปตาร์อีกแล้ววววว

และก็อีกหลายครอบครัวที่ขอให้ช่วยถ่ายภาพครอบครัวให้ ยังงงๆอยู่เลยให้ถ่ายให้แต่กล้องเราแล้วเค้าจะมีโอกา สเห็นภาพได้ยังไง แต่บางครอบครัวก็มีกล้องคอมแพคมาและขอให้ช่วยถ่ายให้ เค้าเหมือนกัน มิตรจิตมิตรใจแบบสไตล์คนเอเชียนี่เอง 





 น่าสังเกตว่าทางเดินภายในป้อมเป็นทางแคบๆ เดินสวนแทบไม่ได้ แต่มีทางขึ้นลงหลายทาง ในสมัยโบราณคงมีการจัดระบบจราจรไม่ให้เดินชนกันในช่อ งทางเดินแน่นอน

เหตุที่พระราชวังใหญ่ใต แต่ทางเดินจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่งนั้นแคบเล็ก และคดเคี้ยวมากจนต้องเดินเรียงทีละคน แสงสว่างลอดได้เพียงรำไร นัยว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะต้องการป้องกันข้าศึกศัตรู ในยามสงครามไม่ให้เข้าถึงตัวมหาราชาได้ง่ายนั่นเอง




 จากนั้นก็ไต่บันไดขึ้นสูงอีก เข้าไปในส่วนของป้อมที่ยังมีทหารเข้าเวรประจำการ แต่ไม่ใช่ป้องกันข้าศึก แต่เป็นการดูแลสถานที่และอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวแทน

ในที่สุดก็ไต่ขึ้นมายอดสูงสุดของป้อมแล้วววว เราเริ่มต้นเดินขึ้นป้อมประมาณ 9 โมงเช้า ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าๆ น้ำดื่มขวดใหญ่ที่พกติดตัวดื่มอึกสุดท้ายเมื่อสักพัก ที่ผ่านมานี่ ตอนนี้น้ำลายเหนียวอยากดื่มน้ำแล้ววว ข้าวกลางวันเฉยๆไม่รู้สึกหิว ทั้งๆที่เมื่อเช้าทานแซนด์วิชไปแค่คู่เดียวเอง







ขึ้นถึงยอดแล้ว ตอนนี้ก็เดินลง พลัดหลงกับน้ายักษ์เหลือเดินอยู่กับคุณเกา 2 คน แวะกลับไปเก็บภาพตรงทางเข้าพระราชวังอีกนิด



 กลับออกมาทางออก เจอร้านกาแฟเหมือนร้านแบล็คแคนย่อน หรือ สตารบัค ด้วยความดีใจเจอห้องแอร์และร้านกาแฟ ไม่รอช้ารีบเข้าร้านทันที และแล้วก็เหมือนคนเดินในทะเลทรายเจอภาพลวงตาอย่างนั้ น เปิดประตูเข้าไปอุณหภูมิเหมือนข้างนอก สั่งเครื่องดื่มที่ติดป้ายหลังเคาเตอร์ไม่มีซักอย่าง ไอ้โน่นก็หมดไอ้นี่ก็ไม่มี จะติดป้ายเปิดร้านไว้ทำไม กะว่าจะนั่งแอร์เย็นดื่มเครื่องดื่มเย็นๆชื่นใจสั่งเ ค้กมานั่งหม่ำชิวๆรอน้ายักษ์ที่ไม่รู้ว่าออกมารึยัง ฝันสลายภาพลวงตาหายไปเป็นภาพแห่งความจริงที่ร้อนระอุ แทนที่ในบัดดล

คุณเกาแนะว่าเราออกไปรอตรงลานข้างนอกดีกว่า เผื่อน้ายักษ์ออกมาแล้วอาจรออยู่ข้านอกก็ได้ แวะซื้อน้ำดื่มข้างทางเช่นเดิม เลี้ยวเข้าห้องน้ำหน่อยไม่ได้ปวดหรอกแต่เห็นแล้วขอเข ้าหน่อยเผื่อทางข้าหน้าไม่มีห้องน้ำให้เข้า

ออกมาเจอน้ายักษ์ตรงลานข้างนอกพอดี ขณะนี้เป็นเวลาประมาณบ่ายสองโมง ปรากฏว่าตอนพลัดหลงกัน น้ายักษ์ออกมารอที่ลานด้านนอกนี้นานแล้วจนคิดว่าพวกเ ราลงไปรอข้างล่างหน้าป้อม จึงลงไปข้างล่างไม่พบพวกเราก็วิ่งกลับขึ้นมาอีกจนพบพ วกเรา โอ....สงสารน้ายักษ์จริงๆ เราก็นึกว่าน้ายักษ์ยังอยู่ข้างในเพราะปกติน้ายักษ์จ ะละเอียดในการเก็บภาพไม่ยอมจากออกมาง่ายๆ ก็เลยเดินไปเหลียวหลังมองหาน้ายักษ์ไป โอ้เอ้รอไป ต่างคนต่างรอกันแต่คนละที่นี่เอง ดีว่ายังไม่หลงจนหากันไม่พบนะ

ข้ามไปนิด ตรงประตูทางออกข้างร้านกาแฟหรู(ลวงตา) มีแขกปูผ้าขายปี่แขกที่เป่าเรียกงู และตะกร้าใส่งู ด้วยความดีใจว่าเจอแขกกับงูแล้ว แขกก็ดีใจว่ามีลูกค้า(เหยื่อ)มาฟังปี่แล้ว รีบเป่าปี่ทันทีพร้อมเปิดตะกร้า มีงูตัวเล็ก 2 ตัว ด้วยสัญชาตญาณเราก็ถอยเพื่อความปลอดภัย แต่ดูงูมันแข็งๆชอบกล คุณเกาชะโงกดูแล้วหัวเราะบอกว่า งูปลอม 555 โดนแขกหลอกอีกจนได้ เสียค่าโง่ไป 20 ฉะนั้นก็ต้องเก็บภาพกลับเพื่อไม่ให้เสียเปรียบ



เริ่มเป๋แล้ว ร้อน เหนื่อย เดินลงกันไปแบบเงียบๆ เราเหนื่อยขี้เกียจพูด น้ายักษ์คงเหนื่อยที่วิ่งขึ้นวิ่งลง 2 รอบ คุณเกาเงียบๆตามปกติอยู่แล้ว เดินลงมาจนถึงถนนมีรถเมล์ผ่านมาพอดีแต่คนรอขึ้นเยอะ พวกเราก็กะว่าจะรอคันต่อไป แต่กระเป๋ารถและคนขับไม่ยอม เรียกให้ขึ้นรถ คุณเกาก็เลยตัดสินใจขึ้นเพราะพวกเราจะไปอีกไม่ไกลนัก เรายืนเกาะไปตรงประตู ลงจากเขาป้อมแอมเบอร์มานิดเดียวก็ลงตรงทะเลสาปที่มีส ิ่งก่อสร้างกลางทะเลสาบคล้ายเกาะ มีชื่อว่า Jal Mahal หรือ Water palace แปลเป็นไทยว่า “พระราชวังสายน้ำ” ซึ่งเป็นพระราชวังที่สร้างในน้ำ แน่นอนว่าเวลาจะเข้าไปต้องนั่งเรือเข้าไป แต่ปัจจุบันไม่ได้เปิดให้เข้าชม

ฟ้าตอนนี้หมองๆ ขาวๆ ดูแล้วไม่น่าสนใจเดินเก็บภาพสักพัก ก็รอรถเมล์กลับเข้าเมืองกัน




รอรถเมลล์สักพักก็มา รถค่อนข้างแน่น แต่ก็พอขึ้นได้ เช่นเคยเราได้สิทธิ์พิเศษเหมือนเดิมกระเป๋าสั่งให้ผู ้โดยสารชายลุกให้เรานั่ง แต่ 2 หนุ่มต้องยืนไป แต่แค่ประมาณ 10-15 นาที เท่านั้น เราก็กลับมายังวงเวียนหน้าพระราชวังสายลม

ใจจริงอยากหาร้านอาหารนั่งพักเท้า ดื่มอะไรเย็นๆ แต่ย่านนั้นถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวก็ไม่มีร้านอาหารอ ย่างนี้เลย มีแต่ร้านค้าขายของสำหรับคนที่นี่ตลอดทาง หัวหน้าคณะจึงตัดสินใจว่าเราเดินไป หอดูดาว จันทราแมนทาร์ (Jantar Mantar) เอ้า..... ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเดิน

เดินไม่ไกลนัก เพราะจุดท่องเที่ยวตรงนี้มีแหล่งท่องเที่ยวกระจุกตัว กัน เข้าอันโน้นออกอันนี้ได้เลย เราใช้ตั๋วเดิมที่ซื้อเมื่อเช้าให้เค้าสแตมป์ไม่ต้อง เสียเงินซื้อใหม่

หอดูดาว จันทราแมนทาร์ (Jantar Mantar) สร้างในปี ค.ศ. 1727 โดยมหาราชาใจสิงห์ พระองค์ยังทรงเป็นกษัตริย์นักดาราศาสตร์ จึงทรงสร้างหอดูดาวและอุปกรณ์ดาราศาสตร์ขนาดใหญ่ไว้ม ากมาย เรียกว่า Jantar Mantar ชม นาฬิกาแดด สูงถึง 28 เมตร ที่ยังเที่ยงตรงอยู่ มหาราชองค์นี้ถือเป็นผู้นำแห่งวิทยาการด้านดาราศาสตร ์ที่เดียว ทรงศึกษาและสร้างเครื่องมือด้วยหินทรายแดงวัดตำแหน่ง ดวงอาทิตย์ดวงดาว หลายชิ้น บางชิ้นใช้คำนวณช่วงฤดูร้อนของปีที่จะมาถึง บางชินคำนวณอากาศและเม็ดฝน ที่นี่จึงมีสิ่งก่อสร้างรูปร่างแปลกๆมากมาย บางอันเป็นนาฬิกาเงาโดยคิดจากความยาวเงาที่เพิ่มขึ้น 4 เมตรต่อชั่วโมงก็มี

There are plenty of observatories all over the world, but the Jantar Mantar is considered to be one of the largest observatories ever built. Combining religion, science and art, the Jantar Mantar is the name given to a series of five, magnificent structures built in Jaipur, New Delhi, Ujjan, Varanasi and Mathura. Jaipur was the seat of Maharaja Jai Singh II during the 1720's and this is when this magnificent structure was built here. The Jantar Mantar in Jaipur is considered to be the largest of the five observatories and also houses the world's largest sundial. The Universe and the Cosmos have always been of interest to man, and it was this interest that compelled the Maharaja to build an astronomical observatory. The term 'Jantar Mantar' is derived from the Sanskrit terms 'Yantra' and 'Mantra' meaning 'instruments' and 'formula' respectively. The term 'Yantra' was replaced with 'Jantar' which means 'magical'. The Jantar Mantar houses various architectural and astrological instruments that have caught the interests of astronomers, historians and architects around the world.




อย่าได้ถามว่า สิ่งก่อสร้างต่างๆเหล่านี้ อะไรคืออะไรทำประโยชน์อะไร เพราะตอนนั้นวิญญาณได้ออกนอกร่างไปแล้ว มีสภาพเป็นซอมบี้ เดินได พูดได้ แต่ไม่มีสติและปัญญาเหลือจะรับรู้สิ่งรอบข้างแล้ว

ฉะนั้น คงไม่มีอะไรดีกว่าหาที่นั่งพัก หาเครื่องดื่มเย็นๆ ดีกว่า ว่าแล้วก็ส่งสัญญาณบอก 2 หนุ่มว่ารอตรงประตูทางออก นะ

แวะซื้อน้ำมะม่วงขวดโต เย็นๆ หาเก้าอี้ใต้ต้นไม้ พอมีลมพัดบ้าง นั่งรอสักพักใหญ่ๆจนน้ำมะม่วงหมดขวด กำลังเคลิ้มๆ หนุ่มๆก็เดินกลับมา





ได้พักสักหน่อย กำลังวังชา สติสตังค่อยกลับเข้าร่าง พร้อมลุยอีกรอบ ในใจก็คิดว่า 2 หนุ่มนี่เค้าไม่รู้จักเหนื่อยกันเลย เดินตัวปลิวเฉยดีมากไม่มีแสดงอาการเลย ทั้งๆที่แต่ละคนกระเป๋ากล้องหนักกว่าของเราหลายเท่าน ัก แล้วป้าจะทำท่าป้อแป้ให้เห็นได้ไง

ว่าแล้วก็ลุกเดินตามหนุ่มๆไปยังจุดหมายต่อไปคือ พระราชวังที่อยู่ตรงข้าม

เดินมาเจอโยคี(ปลอม) นั่งพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ เราก็ขำๆดียกกล้องขึ้นถ่าย ตาโยคีพอหันมาเห็นทำท่าจะยกกระเป๋าขึ้นบังหน้า พอพยักหน้าบอกว่าจะให้เงิน ที่นี้นั่งยิ้มให้ถ่ายโดยดี

เดินมาอีก 2 ก้าว คราวนี้เจอของจริง แขกกับงู ด้วยความดีใจถลาเข้าไปถ่าย แขกก็ดีใจเจอเหยื่อ พอถ่ายเสร็จแขกขอ 200 รูปี

โอ้...มายก๊อด จะบ้าหรือไง ไม่ให้อะ แขกก็โวยวาย เลยตัดใจส่งให้ไป 100 รูปี แล้วเดินหนี น้ายักษ์ยังติดใจถ่ายไม่เลิก เลยต้องเสียอีก 50 รูปี งวดนี้แขกรวยเลย แต่..เราก็โอเคนะ เพราะเป็นสิ่งที่ตามหาในทริปนี้เหมือนกัน 






 พอจะเข้าพระราชวัง ปรากฏว่าตั๋วที่เรามีใช้ไม่ได้ ไม่รวมสถานที่นี้ในตั๋ว ต้องซื้อตั๋วใหม่ราคาแพงเหมือนกัน ดูเวลาแล้วเหลือเวลาไม่เท่าไหร่ก็จะปิดแล้ว เรารีบกลับมาที่พระราชวังสายลมดีกว่า เพราะตั๋วสามารถใช้เข้าที่นี่ได้

รีบเดินกลับมาที่พระราชวังสายลม เฉียดฉิวมากเรียกว่าได้เข้าเกือบคนสุดท้าย เจ้าหน้าที่เค้าก็เร่งให้รีบเดินดู ก็เลยรีบโกยขึ้นไปดูชั้นบนสุดก่อน แล้วค่อยๆเก็บภาพไล่ลงมาอีกทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา

พระราชวังสายลม (Hawa Mahal)หรือ Palace of the wind ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายพระราชวังที่อยู่ในกำแพงเมืองของ นครสีชมพูแห่งนี้ไม่ได้ พระราชวังสายลมเคยเป็นฮาเร็มของมหาราชา มีลักษณะเป็นอาคาร 5 ชั้น สร้างด้วยหินทรายออกแดงคล้ายสีปูนแห้ง เป็นรูปแบบของสถาปัตยกรรมสไตล์เปอร์เซียกับโมกุล ที่สวยเด่น คือ ลวดลายฉลุหินตามหน้าต่าง ช่องระบายอากาศที่บรรดานางสนมในวังใช้เป็นที่แอบดูชี วิตความเป็นอยู่ของ สามัญชนทั่วไป และประโยชน์อีกอย่างคือเป็นช่องแสงและช่องลมมีช่องหน ้าต่างจำนวนมากถึง 152 ช่อง




 ลองสมมุติตัวเอง เป็นนางสนมของมหาราชาดู แล้ววันๆมีโอกาสแค่แอบมองสิ่งต่างๆภายนอกผ่านหน้าต่า งเล็กๆเหล่านี้ว่า นางสนมเหล่านี้จะเห็นภาพภายนอกอะไรบ้าง




 ไม่รู้ว่าในสมัยนั้น นางสนมสามารถโผล่หัวออกไปนอกหน้าต่างได้หรือไม่ แต่ถ้าสามารถโผล่หัวออกไปได้ คงได้เห็นภาพโลกภายนอกกว้างกว่าเดิมอีกนิด







หมดเวลาเยื่ยมชมแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เริ่มต้อนคนให้ลงจากพระราชวัง จังหวะที่เจ้าหน้าที่บางคนเชื้อเชิญให้เราถ่ายภาพตัว เองบ้าง ชี้ให้ถ่ายโน่นนี่บ้าง (หวังทิป) เราก็เลยแกล้งโอ้เอ้ ถ่ายนิดถ่ายหน่อย ดึงเวลาให้ 2 หนุ่มได้มีเวลาเก็บภาพเพิ่มขึ้น ดึงเวลาจนเป็นคนสุดท้ายที่เดินรั้งท้าย และเจ้าหน้าที่ก็เปิดประตูตามหลังมาตลอดทุกจุด จนโดนต้อนออกสู่ประตูทางออก

พอออกนอกประตูใหญ่ เจ้าหน้าที่ก็ปิดประตู พลังงานที่รีบแข่งกับเวลาก็หมด ทุกคนก็ถือโอกาสนั่งพักตรงบันไดประตูทางออกนั่นแหละ ร่มดี



นั่งพักไปก็ปรึกษากันว่า ตอนนี้ประมาณสี่โมงกว่าๆ เราจะเอายังไงจะไปที่ไหนดี

สรุปกันว่ายังติดใจการเดินถนนเก็บภาพไลฟ์ เราไปหาชุมชนที่ปั้นหม้อ สานกระบุงตะกร้า บ้างก็ดี แต่อยู่ตรงไหนละ พยายามถามคนแถวนั้น ถามเจ้าหน้าที่ แม้กระทั่งสามล้อถีบ ก็ดูเหมือนไม่มีคนรู้ ดูเหมือนทุกคนจะรู้จักเฉพาะสถานที่ที่อยู่รอบๆตัวเอง เท่านั้น ไกลกว่านั้นจะไม่ค่อยรู้กันเลย

สรุปคือ เหมือนเมื่อว่า เดินสุ่มไปเรื่อยๆแล้วกันว่าจะเจออะไรบ้าง เดินไม่ไหวค่อยเรียกสามล้อให้ปั่นไปส่งที่โรงแรมแล้ว กัน เพราะไม่ไหวจะเบียดรถเมล์แล้ว





 ซอยที่เราเดินสภาพเหมือนภาพข้างบน คือเล็กๆแคบๆ สองข้างทางมีรถจอดบ้างเหลือที่ให้รถและคนผ่านนิดเดีย ว เดินไปหลบกันไปแบบนี้ตลอดทาง ดีที่ถนนเค้าลาดยางดีแล้ว และสะอาดพอสมควร

ซอยแรกที่เดินเข้าไป เป็นชุมชนที่ทำอาชีพสิ่งพิมพ์ต่างๆ ไม่ใช่ที่เราต้องการก็เลยเดินแบบรีบเดินเร็วๆตัดซอยอ อกไป






 คราวนี้ไปโผล่ที่ชุมชนทำขนมหวาน









 หาชุมชนปั้นหม้อไม่เจอ และ 2 หนุ่มน่าจะมีอาการล้าแล้ว ชวนกันกลับ อ้า....สิ่งที่รอคอย ได้กลับที่พักแล้ว เย้.....





 กลับมาถึงโรงแรม มีเวลาอาบน้ำก่อนไปหาข้าวทานกัน คุณเกาออกไปหาแท๊กซี่เพื่อจ้างไปส่งพวกเราที่ อัครา จุดหมายต่อไปพรุ่งนี้





 ภาพสุดท้ายสำหรับที่นี่คือ มื้ออาหารเย็นค่ำคืนนี้ เป็นร้านอาหารพื้นเมือง วันนี้เราสั่งไก่ย่างแบบอินเดีย ข้าวหมกเนื้อแกะแบบอินเดียแท้ๆ

เป็นมื้อที่อร่อยมากมื้อหนึ่ง แต่ข้าวหมกเนื้อแกะที่รสชาดอินเดียแท้ๆใส่เครื่องเทศ เต็มอัตราศึก เผ็ดร้อนเหลือเกิน ขนาดพี่่ไทยกินไปบ่นไป แต่อร่อยจริงๆ

พรุ่งนี้เรานัดรถแท๊กซี่ให้มารับตอนตีสี่ คงจะเดินทางถึงเมืองอัคราสายๆ เราจะเข้าชม ทัชมาฮาลที่เลื่องชื่อ และ ป้อมอัครา จากนั้นเราจะตีรถให้ไปส่งที่ นิวเดลฮีเลย ไม่ค้างที่นี่ เพราะพรุ่งนี้เราต้องไปถึงสนามบินแต่เช้าเพื่อบินกลั บไทย

ติดตามชมได้ในตอนต่อไปค่ะ
 http://somersetmghm.blogspot.com/2013/07/taj-mahal.html










No comments:

Post a Comment

ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......