Friday, 18 November 2022

ฺBali ( 30 Oct - 3 Nov 2022 ) #1

 


เนื่องจากพวกเราซื้อตั๋วบินรัวรัว ของแอร์เอเชียไว้ ซึ่งสามารถใช้บินในประเทศ และ ประเทศในอาเซียนได้ทั้งหมด ไม่จำกัดตลอดทั้งปี หลังจากไปชิวชิว ที่กัวลาลัมเปอร์ มาแล้ว ก็ถึงคิว บาหลี อินโดเนียเซีย จากวิกฤตของ โควิท19 ทำให้เรารีรอจนมั่นใจว่าน่าจะปลอดภัยแล้ว จึงมาวางแผนมาบาหลีกัน เลือกมาช่วงปลาย ตค. เพื่อให้หมดพายุ หรือเบาบางลงซะนิด ไม่งั้นจะเที่ยวไม่สนุก

เนื่องจากเกาะบาหลี ถนนหนทางบนเกาะเป็นถนนเล็กๆ 2 เลน รถวิ่งสวนกัน ลักษณะภูมิประเทศเป็นเนินเขาและภูเขา สูงต่ำ  เราจึงตัดสินใจ ใช้การเช่ารถพร้อมคนขับ  โดยได้คุณแหม่ม คนไทย เป็นคนประสานงานให้ เราได้รถเก๋ง 5 ประตู สำหรับพวกเรา 4 คน พร้อมกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กอีก 4-5 ใบ

ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง 7 โมงเช้า นั่งๆนอนๆ 11.15 น. เราก็ถึงบาหลี สนามบิน Ngurah Rai International Airport เดนปาซาร์  ไม่รู้โชคดีเกินไปไม๊ พอเข้าด่าน ตม. ปรากฎว่าโล่งมาก แป๊บเดียวก็ออกมารับกระเป๋าที่สายพานได้แล้ว 

สนามบินเปลี่ยนไปมาก จากครั้งก่อนที่เคยมา 10 กว่าปี ทันสมัยมาก มีร้านค้าเยอะแยะ สะอาดสะอ้าน ออกมาด้านนอกก็เจอคนขับรถ ชือ Eka รอรับอยู่ 


จุดหมายแรก คือ ร้านอาหาร ควบ 2 มื้อ คือมื้อเช้าและมื้อเที่ยง อ่านจากที่คนเคยไปรีวิวไว้บนเน็ต แนะนำร้านอาหารหน้าสนามบินชื่อ Ayam Tulang Lunak Malioboro เป็นอาหารอินโด งงๆว่าจะสั่งยังไงดี เด็กรับออเดอร์พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เลยอาศัยชี้รูป ชี้โต๊ะข้างๆ และเปิดรูปของร้านจากกูเกิ้ลแม้ม ให้เด็กดู เราก็ได้ ไก่ย่าง ซูป ผัดผักบุ้ง ปลาทูทอดราดพริก และ น้ำพริกเหมือนพวกพริกตำกับกระเทียมหัวหอมและปรุงรส ก็อร่อยดีแต่เผ็ดมากแต่ก็ไม่เกินความสามารถของลิ้นคนไทยตักน้ำพริกในโถเติมกันจนเกือบหมดโถแหละ

อิ่มหนำกันดีแล้ว จุดหมายแรกของทริป คือ Water Blow 

Water blow ที่หาดนูซาดูอา (Nusa dua Beach ) ตั้งอยู่ในส่วนที่เรียกว่า Peninsula Island ติดริมทะเลทางฝั่งตะวันออก มีลักษณะเป็นหน้าผาหินลาวาภูเขาไฟสีดำงดงาม มีช่องหินที่ถูกกัดเซาะโดยคลื่นทะเล ซึ่งช่องตรงนี้นี่เองที่จะมีน้ำทะเลพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า ถ้าวันไหนโชคดีคลื่นลมแรงเราก็จะได้เห็นฟองสีขาวกระจายแบบเต็มสูบ แต่คณะเราโชคไม่ดี เพราะคลื่นลมสงบมากจนร้อนระอุ ทะเลเรียบ มีน้ำซัดเข้ามาประปราย 









เราแวะเก็บภาพด้านหน้าทางเข้ากันเล็กน้อย 







ที่หมายต่อไปคือ Garuda Wisnu Kencana Cultural Park เป็นรูปปั้นพระนารายณ์ทรงครุฑ ใหญ่มากเห็นเด่นชัดจากบนเครื่องบินตอนจะลงเลย  แต่ค่าเข้าโหดมาก คนละ 2 แสนรูเปีย์ หรือประมาณ 5พันบาท ปรึกษากันแล้ว ช่วงบ่ายๆอย่างนี้ร้อนมาก เดินในสวนร้อนๆคงไม่สนุกนักค่าเข้าแพงเกิน ขอผ่านละกัน

ตอนนี้คอแห้งแล้ว เลยขอให้คนชับช่วยแวะร้านกาแฟริมทางที่รื่นรมย์หน่อย คนขับเลยแวะจอดให้ สไตล์การพรีเซ็นของที่บาหลี เค้าจะชงกาแฟตัวอย่างทุกชนินใส่ถ้วยตะไล 10-12 ชนิด มาวางให้ชิม ชอบรสไหนก็สั่งได้เลย เราชิมแล้วก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่ด้วยความเกรงใจเลยสั่งมา 2 แก้ว

ที่ต่อไป Uluwatu Temple เป็นวัดทางใต้สุดของเกาะบาหลี โดยวัดนี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพแห่งท้องทะเลตามความเชื่อของชาวอินโดนีเซีย เป็น 1 ใน 6 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของบาหลี (Sad Kahyangan Jagad) ตั้งอยู่บริเวณหน้าผาสูงชัน ริมทะเลในเขตอูลูวาตู (Uluwatu) นอกจากมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามแล้ว ยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินริมทะเลที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของบาหลี 














ที่ Uluwatu Temple มีสิ่งที่ควรระวัง คือลิงที่นี่ เยอะมาก ไม่ทำร้ายคน แต่ชอบปล้นโดยเฉพาะแว่นตา จะชอบมาก ควรเก็บใสกระเป๋าให้ดี ของเราโดนฉกแว่นสายตา ดึงออกจากหน้ามือเบามาก ขอคืนก็ไม่ให้กระโดดหายไปเลย เลยต้องเสียเงินซื้อแว่นในตลาดมาใส่ ไม่งั้นจะเหมือนคนตาบอดตาใส มองอะไรไม่ชัด








จากนั้น เราก็เข้าที่พัก ที่พักริมทะเลราคาโหดมาก เราเลยเลือกในชุมชนแทน เลือกได้ Seminyak Square Hotel อยู่กลางย่าน Seminyak ท่ามกลางร้านค้าเหมือนประมาณพัทยา หัวหิน บ้านเรา แต่ช่วงนี้เงียบเหงาหน่อย นักท่องเที่ยวพึ่งเริ่มทะยอยเข้ามายังไม่มากเท่าไหร่ ก็สะดวกดี หาร้านอาหารและซื้อของได้ง่าย โดยเฉพาะแว่นตา เรามาได้ที่นี่ คุณภาพเหมือน แว่นร้านโดโซะราคา 60 บาท แต่เราต้องจ่าย ประมาณ 2 หมื่นรูเปียะหรือ 6ร้อยกว่าบาท 

คืนนี้พักสบาย เตียงนุ่ม หลับสบายจนเช้าหลังจากเหน็ดเหนื่อยเดินตากแดดมาตลอดช่วงครึ่งวันบ่าย



เช้าวันที่2 เช้านี้เราจะไปเที่ยวชมที่ Tanah Lot Temple เป็นที่แรก

ตานะฮ์ลต (Tanah Lot) คนบาหลีจะเรียกวัดนี้ว่า Pura Tanah Lot ซึ่งแปลว่า แผ่นดินที่อยู่ในทะเล (Land in the sea)  วัดนี้เป็นวัดโบราณเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของบาหลี ตั้งอยู่ในเขตตานาบัน (Tabanan) ห่างจากเมืองเดนปาซาร์ราว ๆ 30 กิโลเมตร มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยตัววัดตั้งอยู่บนภูเขาหินเล็ก ๆ ริมชายฝั่งทะเล ซึ่งเรียกว่า Gili Beo เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ บริเวณชายหาดแห่งนี้มีคลื่นลมแรงเกือบตลอดทั้งปี ทำให้คลื่นทะเลกัดเซาะหินเรื่อย ๆ จนทางเดินที่เชื่อมต่อไปยังวัดค่อย ๆ ขาดหายไป ในช่วงน้ำขึ้นเต็มที่จึงเหมือนกับว่าวัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเล สวยงามและทรงคุณค่าน่าเที่ยวชม 



จากลานจอดรถ เราเดินเข้าทางด้านริมทะเลที่มีหน้าผาแคบ ด้านล่างเป็นโพรงโล่ง น้ำทะลทะลุผ่านได้ สวยงามมาก 









เดินอ้อมมาอีกด้านจะพบ Tanah Lot มุมถ่ายภาพระยะไกล ถึงแดดจะแรงไปนิด แต่ฟ้าก็สวยใส พอกล้อมแกล้มไปได้







 

เดินอ้อมไปทางเข้าหลัก เพื่อลงไปที่ Tanah Lot แวะเก็บภาพกันที่ซุ้มประตูทางเข้าซะหน่อย




 



 

ในที่สุด เราก็ลงมาอยู่ระดับเดียวกับ Tanah Lot  















ออกจาก Tanah Lot ใกล้เที่ยง คนขับถามว่าพวกเราอยากทานอะไร ก็ถามกลับว่ามีอะไรน่าทานบ้าง คนขับบอกว่า มีสะเต๊ะ หมูหัน ใช่ค่ะ คนขับพูดชัดมาก หมูหัน และเป็นหมูหันจริงๆ ทั้งตัววางหน้าร้านเลย มีหลายร้านด้วย เพราะคนที่นี่เค้าเป็นฮินดู ที่ทานเนื้อสัตว์ได้ เค้าไม่ทานเนื้อวัว ทานแต่ ไก่กับหมูและปลา

แต่วิธีทานหมูหัน เค้าไม่เหมือนบ้านเรา ของที่นี่เค้าเอาเนื้อหมูหันมาปรุงเป็นผัดพริกเผ็ดๆ มีทุกส่วนของหมูรวมถึงเครื่องในทอดกรอบปนมาด้วย โปะบนข้าว และท้อปปิ้งด้วยหนังหมูหัน 1 ชิ้น  ก็อร่อยแปลกดี เหมือนทานหมูผัดเผ็ด ไม่เลี่ยนดี



จุดหมายต่อไป คือ Sacred Monkey Forest Sanctuary แต่เนื่องจากพวกเราเข็ดเขี้ยวกับเจ้าลิงตัวเมื่อวาน และมีสมาชิกกลัวลิงด้วย เลยข้ามไปไม่แวะ ขอเปลี่ยนเป็นน้ำตกแทน ขอให้คนขับแวะน้ำตกริมทางที่เดินเข้าไม่ลึกนัก ก็ได้ที่นี่คือ Suwat Waterfall เป็นน้ำตกเล็กๆ แต่ก็สวยใช้ได้



 





 


 เห็นเล็กๆนี่ เทียบกับตัวคนแล้ว คนตัวนิดเดียวเองนะ




 




และโปรแกรมสุดท้ายของวันที่2 คือ Campuhan Ridge Walk  ด้วยความเซ่อซ่า คิดว่าทางเดินนี้เดินขึ้นภูเขา คงได้ชมวิวมุมสูง ที่ไหนได้ มันคือการเดินออกกำลังกายไปตามทางเดินแบบเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ ระยะทางประมาณ 2 กม. เล่นเอาเหนื่อยเลย ที่จริงเค้ามีเดินต่อไปอีก แต่คนขับรถบอกว่า ทางข้างหน้าก็เหมือนทางที่ผ่านมา อย่าเดินให้เหนื่อยเลย เราก็พึ่งเข้าใจตอนนี้ว่าทำไม คนขับรถเดินมาด้วย เพราะถ้าเค้าไม่มาด้วย เราก็คงเดินไปเรื่อยๆแบบไม่รู้ว่าจะหยุดตรงไหน ส่วนใหญ่คนที่มาเดิน คือเดินออกกำลังกาย และเป็นฝรั่งซะเกือบทั้งนั้น มีเอเชียหน้าเซ่อๆแค่กลุ่มนี้แหละ 


 




คนที่บาหลี เค้านับถือเทพ นับถือผี เราจะพบกระทงดอกไม้ เพื่อไหว้บูชาเทพ บูชาผี ตลอดทาง



 

ขาลงสบายมาก เดินแป๊บเดียวถึง 




 



ที่พักวันนี้ และ พรุ่งนี้ เราจะพักที่ อูบุด 

อูบุด (Ubud)  เป็นศูนย์รวมทั้งศิลปะและวัฒนธรรมบาหลีเอาไว้มากที่สุด ความโดดเด่นของที่นี่คือ เป็นศูนย์รวมของที่พัก ที่มีตั้งแต่แบบโฮมสเตย์ไปจนถึงโรงแรมสุดหรูติดอันดับโลก มีแหล่งท่องเที่ยวที่เหมาะกับการมาพักผ่อนชิลล์ๆ แบบสโลไลฟ์ ไม่เร่งรีบ ดื่มด่ำกับธรรมชาติ สถาปัตยกรรม และวิถีชีวิตของคนบาหลี

ที่พักของพวกเราชื่อ Puri Saraswati Dijiwa Ubud ซึ่งเราโชคดี ที่จองช่วงที่ยังมีโควิท ยังไม่เปิดเมืองให้นักท่องเที่ยวมา ราคาจึงถูกมาก  ที่พักมีความเป็นบาหลีสุดๆ ตั้งแต่ตัวที่พักห้องต่างๆ ตกแต่งประดับประดาเป็นบาหลี ที่เด็ดคือมีวัดของตัวเอง คือวัดSaraswati Temple ที่มีสระบัวจุดแวะหน้าวัด ซึ่งนักท่องเที่ยวอื่นๆทั่วไปจะเข้าได้เฉพาะตรงสระบัวและหน้าวัดเท่านั้น แต่แขกของโรงแรม สามารถเข้าไปเดินในวัดได้ เด็ดสุดเลย

 










 

ที่ริมสระบัว เป็นเวทีจัดแสดง Bali Dance หรือ Legong and Barong Dance  การแสดงบารองแดนซ์ใช้ท่าเต้นที่แตกต่างจากนาฏศิลป์ไทยอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือไม่มีความอ่อนช้อย ยิ้มแย้ม ผู้แสดงบารองแดนซ์จะแสดงท่าทางดุดัน การเคลื่อนไหวแข็งอันเป็นเอกลักษณ์ ที่เด่นคือ ตัวนางในการร่ายรำ จะมีการกรอกลูกตากลิ้งไปกลิ้งมา  ระบำบารอง (Barong & Rangda) เป็นการแสดงที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวเพราะมีการจัดให้ชมเป็นประจำ เรื่องราวจะเกี่ยวกับการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายดี ซึ่งเป็นคนครึ่งสัตว์หน้าตาโบราณคล้ายสิงโตของจีนกับพ่อมดหมอผีฝ่ายอธรรม 

การชมการแสดง ต้องซื้อตั๋วเข้าชม ราคาประมาณ 1แสนรูเปียะ ซึ่งแพงมาก และเราดูท้องฟ้าฝนทำท่าจะตก ถ้านั่งดูอยู่ฝนตกจะเสียดายมาก และตัวเราและน้องสาวเคยมาบาหลีเคยมาชมแล้ว น้องชายกับน้องสะใภ้ เลยบอกไม่ดูดีกว่า 






 






ก็เลยออกไปเดินตลาดกลางคืนกันแทน ความคึกคักของเมืองยังไม่มากเพราะพึ่งเริ่มเปิดเมือง และตลาดอูบุดก็ยังปิดสร้างใหม่ เลยเหงาๆไปนิด 





เดินไปเจอ Bakso Ayam หรือก๋วยเตี๋ยวไก่ รถเข็นริมทาง เลยลองสั่งมา 1 ชาม ช่วยกันกิน 4 คน ปรากฏว่าอร่อยมาก เลยสั่งต่อแบบไม่ถามราคา เบิ้ลไป 3 ชาม พอจ่ายเงินเลยจุก โดนชาร์ตเต็มๆ จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ แต่แพงมาก  และที่ว่าอร่อย วันต่อๆมา เราไปทานที่อื่นอร่อยกว่าอีก






กลับมาที่พัก เหนื่อยจากเดินไกล เลยรีบนอน เพราะพรุ่งนี้ คนขับรถนัดมารับ 6 โมงเช้า เพื่อไปถ่ายภาพที่ ประตูสวรรค์ หรือ Gate of Haeven  จะเป็นยังไงติดตามได้ตอนต่อไปค่ะ


ติดตามตอนต่อไปได้ที่นี่ค่ะ


No comments:

Post a Comment

ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......