เนื่องจากพวกเราซื้อตั๋วบินรัวรัว ของแอร์เอเชียไว้ ซึ่งสามารถใช้บินในประเทศ และ ประเทศในอาเซียนได้ทั้งหมด ไม่จำกัดตลอดทั้งปี หลังจากไปชิวชิว ที่กัวลาลัมเปอร์ มาแล้ว ก็ถึงคิว บาหลี อินโดเนียเซีย จากวิกฤตของ โควิท19 ทำให้เรารีรอจนมั่นใจว่าน่าจะปลอดภัยแล้ว จึงมาวางแผนมาบาหลีกัน เลือกมาช่วงปลาย ตค. เพื่อให้หมดพายุ หรือเบาบางลงซะนิด ไม่งั้นจะเที่ยวไม่สนุก
เนื่องจากเกาะบาหลี ถนนหนทางบนเกาะเป็นถนนเล็กๆ 2 เลน รถวิ่งสวนกัน ลักษณะภูมิประเทศเป็นเนินเขาและภูเขา สูงต่ำ เราจึงตัดสินใจ ใช้การเช่ารถพร้อมคนขับ โดยได้คุณแหม่ม คนไทย เป็นคนประสานงานให้ เราได้รถเก๋ง 5 ประตู สำหรับพวกเรา 4 คน พร้อมกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กอีก 4-5 ใบ
ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง 7 โมงเช้า นั่งๆนอนๆ 11.15 น. เราก็ถึงบาหลี สนามบิน Ngurah Rai International Airport เดนปาซาร์ ไม่รู้โชคดีเกินไปไม๊ พอเข้าด่าน ตม. ปรากฎว่าโล่งมาก แป๊บเดียวก็ออกมารับกระเป๋าที่สายพานได้แล้ว
สนามบินเปลี่ยนไปมาก จากครั้งก่อนที่เคยมา 10 กว่าปี ทันสมัยมาก มีร้านค้าเยอะแยะ สะอาดสะอ้าน ออกมาด้านนอกก็เจอคนขับรถ ชือ Eka รอรับอยู่
จุดหมายแรก คือ ร้านอาหาร ควบ 2 มื้อ คือมื้อเช้าและมื้อเที่ยง อ่านจากที่คนเคยไปรีวิวไว้บนเน็ต แนะนำร้านอาหารหน้าสนามบินชื่อ Ayam Tulang Lunak Malioboro เป็นอาหารอินโด งงๆว่าจะสั่งยังไงดี เด็กรับออเดอร์พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เลยอาศัยชี้รูป ชี้โต๊ะข้างๆ และเปิดรูปของร้านจากกูเกิ้ลแม้ม ให้เด็กดู เราก็ได้ ไก่ย่าง ซูป ผัดผักบุ้ง ปลาทูทอดราดพริก และ น้ำพริกเหมือนพวกพริกตำกับกระเทียมหัวหอมและปรุงรส ก็อร่อยดีแต่เผ็ดมากแต่ก็ไม่เกินความสามารถของลิ้นคนไทยตักน้ำพริกในโถเติมกันจนเกือบหมดโถแหละ
อิ่มหนำกันดีแล้ว จุดหมายแรกของทริป คือ Water Blow
Water blow ที่หาดนูซาดูอา (Nusa dua Beach ) ตั้งอยู่ในส่วนที่เรียกว่า Peninsula Island ติดริมทะเลทางฝั่งตะวันออก มีลักษณะเป็นหน้าผาหินลาวาภูเขาไฟสีดำงดงาม มีช่องหินที่ถูกกัดเซาะโดยคลื่นทะเล ซึ่งช่องตรงนี้นี่เองที่จะมีน้ำทะเลพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า ถ้าวันไหนโชคดีคลื่นลมแรงเราก็จะได้เห็นฟองสีขาวกระจายแบบเต็มสูบ แต่คณะเราโชคไม่ดี เพราะคลื่นลมสงบมากจนร้อนระอุ ทะเลเรียบ มีน้ำซัดเข้ามาประปราย
เราแวะเก็บภาพด้านหน้าทางเข้ากันเล็กน้อย
ที่หมายต่อไปคือ Garuda Wisnu Kencana Cultural Park เป็นรูปปั้นพระนารายณ์ทรงครุฑ ใหญ่มากเห็นเด่นชัดจากบนเครื่องบินตอนจะลงเลย แต่ค่าเข้าโหดมาก คนละ 2 แสนรูเปีย์ หรือประมาณ 5พันบาท ปรึกษากันแล้ว ช่วงบ่ายๆอย่างนี้ร้อนมาก เดินในสวนร้อนๆคงไม่สนุกนักค่าเข้าแพงเกิน ขอผ่านละกัน
ตอนนี้คอแห้งแล้ว เลยขอให้คนชับช่วยแวะร้านกาแฟริมทางที่รื่นรมย์หน่อย คนขับเลยแวะจอดให้ สไตล์การพรีเซ็นของที่บาหลี เค้าจะชงกาแฟตัวอย่างทุกชนินใส่ถ้วยตะไล 10-12 ชนิด มาวางให้ชิม ชอบรสไหนก็สั่งได้เลย เราชิมแล้วก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่ด้วยความเกรงใจเลยสั่งมา 2 แก้ว
ที่ต่อไป Uluwatu Temple เป็นวัดทางใต้สุดของเกาะบาหลี โดยวัดนี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพแห่งท้องทะเลตามความเชื่อของชาวอินโดนีเซีย เป็น 1 ใน 6 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของบาหลี (Sad Kahyangan Jagad) ตั้งอยู่บริเวณหน้าผาสูงชัน ริมทะเลในเขตอูลูวาตู (Uluwatu) นอกจากมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามแล้ว ยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินริมทะเลที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของบาหลี
ที่ Uluwatu Temple มีสิ่งที่ควรระวัง คือลิงที่นี่ เยอะมาก ไม่ทำร้ายคน แต่ชอบปล้นโดยเฉพาะแว่นตา จะชอบมาก ควรเก็บใสกระเป๋าให้ดี ของเราโดนฉกแว่นสายตา ดึงออกจากหน้ามือเบามาก ขอคืนก็ไม่ให้กระโดดหายไปเลย เลยต้องเสียเงินซื้อแว่นในตลาดมาใส่ ไม่งั้นจะเหมือนคนตาบอดตาใส มองอะไรไม่ชัด
จากนั้น เราก็เข้าที่พัก ที่พักริมทะเลราคาโหดมาก เราเลยเลือกในชุมชนแทน เลือกได้ Seminyak Square Hotel อยู่กลางย่าน Seminyak ท่ามกลางร้านค้าเหมือนประมาณพัทยา หัวหิน บ้านเรา แต่ช่วงนี้เงียบเหงาหน่อย นักท่องเที่ยวพึ่งเริ่มทะยอยเข้ามายังไม่มากเท่าไหร่ ก็สะดวกดี หาร้านอาหารและซื้อของได้ง่าย โดยเฉพาะแว่นตา เรามาได้ที่นี่ คุณภาพเหมือน แว่นร้านโดโซะราคา 60 บาท แต่เราต้องจ่าย ประมาณ 2 หมื่นรูเปียะหรือ 6ร้อยกว่าบาท
คืนนี้พักสบาย เตียงนุ่ม หลับสบายจนเช้าหลังจากเหน็ดเหนื่อยเดินตากแดดมาตลอดช่วงครึ่งวันบ่าย
เช้าวันที่2 เช้านี้เราจะไปเที่ยวชมที่ Tanah Lot Temple เป็นที่แรก
ตานะฮ์ลต (Tanah Lot) คนบาหลีจะเรียกวัดนี้ว่า Pura Tanah Lot ซึ่งแปลว่า แผ่นดินที่อยู่ในทะเล (Land in the sea) วัดนี้เป็นวัดโบราณเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของบาหลี ตั้งอยู่ในเขตตานาบัน (Tabanan) ห่างจากเมืองเดนปาซาร์ราว ๆ 30 กิโลเมตร มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยตัววัดตั้งอยู่บนภูเขาหินเล็ก ๆ ริมชายฝั่งทะเล ซึ่งเรียกว่า Gili Beo เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ บริเวณชายหาดแห่งนี้มีคลื่นลมแรงเกือบตลอดทั้งปี ทำให้คลื่นทะเลกัดเซาะหินเรื่อย ๆ จนทางเดินที่เชื่อมต่อไปยังวัดค่อย ๆ ขาดหายไป ในช่วงน้ำขึ้นเต็มที่จึงเหมือนกับว่าวัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเล สวยงามและทรงคุณค่าน่าเที่ยวชม
No comments:
Post a Comment
ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......