ติดตามตอนแรก Istanbul ได้ที่นี่
http://somersetmghm.blogspot.com/2020/01/turkey-2019-istanbul.html
ติดตามตอน 2 เมืองโบราณ Ephesus ได้ที่นี่
https://somersetmghm.blogspot.com/2020/01/turkey-2019-ephesus.html
ติดตามตอน 3 ปราสาทปุยฝ้าย Pamukkale ได้ที่นี่
http://somersetmghm.blogspot.com/2020/01/turkey-2019-pamukkale.html
ติดตามตอน 4 Cappadocia ได้ที่นี่
บนเส้นทางจาก Cappadocia มายัง Istanbul ระยะทางกว่า 750 กม. น่าจะใช้เวลาเดินทางมากกว่า 8 ชม. พวกเราพยายามทำช่วงเวลานี้ให้ครื่นเครง แทนที่จะนอนบนรถตู้อย่างเดียว เพราะสงสารลุงเน็กเดค คนขับจะเหงา พวกเราเลยเปิดเพลงจากยูทูปส่งผ่านไวไฟ เข้าลำโพงของรถตู้ ช่วยกันแหกปากร้องรำทำเพลง ถ่ายวีดีโอกันอย่างสนุกสนาน จนเวลาผ่านเลยไปแบบไม่เบื่อหน่าย
จุดแวะระหว่างทาง มีจุดเดียวคือ ทะเลสาปเกลือ ที่มิใช่นาเกลือ แต่เป็นทะเลสาปที่กว้างใหญ่ น้ำลึกแค่ตาตุ่ม เบื้องล่างไม่ใช่ทราย แต่เป็นเกลือ
Tuz Golu Saltlake เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของตุรกี ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่มีเปอร์เซ็นต์ของเกลือสูงมาก ๆ จะลงไปเดินในทะเลสาปต้องถอดรองเท้าจ้า เดินย้ำบนพื้นเกลือไม่ใช่พื้นทรายนุ่มๆ เจ็บเท้ามาก ขอแนะนำคนที่จะมาให้สวมถุงเท้า เดินย่ำทั้งถุงเท้าจะดีกว่าเดินเท้าเปล่า
จากนั้นเราก็เดินทางกันต่อ แวะทานอาหารกลางวันที่เมืองAnkara เมืองหลวงของตุรกี และวิ่งยาวเข้าอีสตันบูล แต่รถติดได้ใจจริงๆ จากเวลา 8 ชั่วโมงที่กะไว้ เป็นเกือบ 12 ชั่วโมง ทำให้เรามาถึงโรงแรมเดิมที่เคยพักวันแรก ดึกมาก ลุงเน็กบอกว่า ชั่วโมงเร่งด่วนของที่นี่รถติดเป็นปกติ ทำเวลาไม่ได้ ถนนสายหลักมีอยู่เส้นเดียว ไม่พอเพียงกับจำนวนรถที่มหาศาล
พรุ่งนี้เรามีเวลาใน อีสตันบูล 2 วัน พรุ่งนี้คงเดินเที่ยว เดินช้อป และ คุณเกาจะพาไปนั่งเรือเฟอรี่ชมวิวช่องแคบบอสฟอรัส
ช่องแคบบอสฟอรัส ถือเป็นหนึ่งในช่องแคบเลื่องชื่ออันดับต้นๆของโลก เป็นพรมแดนธรรมชาติที่แบ่งอิสตันบูลออกจากยุโรปและเอเชีย ซึ่งเป็นช่องแคบที่เชื่อมต่อกับทะเลดำ (The Black Sea) เข้ากับทะเลมาร์มาร่า (Sea Of Marmara) ความยาวทั้งสิ้นประมาณ 32 ก.ม. ความกว้างตั้งแต่ 500 เมตร จนถึง 3 ก.ม. ถือว่าสุดขอบของทวีปยุโรปและสุดขอบของทวีปเอเชียมาพบกันที่นี่
เช้านี้เรากลับมาเดินยามเช้าที่ The Blue Mosque อีกครั้ง ครั้งนี้มีชาวคณะมาด้วยกันหลายคน ก็เก็บแสงกับวิวเดิมๆอีกครั้ง
วันนี้จุดแรกที่จะไปคือ Basilica Cistern อ่างเก็บน้ำใต้ดิน หรืออุโมงค์ส่งน้ำใต้ดิน Yerebatan Sarnici หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า The Basilica Cistern สร่างในปี 532 ประมาณ 1476 ปีมาแล้ว รัชสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน เพื่อกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ในพระราชวัง ที่น่าพิศวงคือเสาคอลัมน์ที่ค้ำยันหลังคาอยู่ใต้ดิน มีความสวยงามมาก เป็นศิลปะแบบคอรินเทียนของโรมัน ถึง 336 สูงต้นละ 9 เมตร เรียง 12 แถว แถวละ 28 ต้น ในพื้นที่ยาว 142 เมตร กว้าง 65 เมตร เสาที่สลักเป็นรูปดวงตานกยูง หยดน้ำตาหรือดวงตาปีศาจ ตามแต่ใครจะเห็นเป็นรูปใด เรียกชื่อว่า Forum Tauri และเสาอีก 2 ต้นที่ไม่ควรพลาดชม ได้แก่ เสาที่มีหัวของเมดูซา กลับหัว วางเป็นฐาน และอีกเสาหนึ่งหัวเมดูซาตะแคงขวาอยู่เพราะเป็นเคล็ดไม่ให้เมดูซามองใครแล้วจะกลายเป็นหิน แต่จะให้อยู่เฝ้าอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ตลอดไป
จุดหมายต่อไป อันเนื่องมาจากเราเห็นภาพหอคอยในซอยแคบจากโปสเตอร์ริมกำแพง ที่เดินผ่าน ชี้ให้คุณเกาดูว่าที่ไหน คุณเกาก็ไม่รอช้าสนองตอบทันใด พาพวกเรานั่งรถรางข้ามสะพานGalata Bridge ไปลงหน้าตรอกแคบๆตรอกนึงไม่ทราบชื่อซอย แต่มี Karaköy Aparts พอเป็นจุดสังเกตได้ เราลงเดินจากปากซอย ผ่านร้านขายของที่ระลึกเยอะแยะมากมาย ชาวคณะเริ่มหายเข้าไปตามร้านต่างๆที่ละคนสองคน กว่าจะเดินไปจนสุดซอยก็ใช้เวลามากโข ได้ของติดไม้ติดมือกันคนละหลายๆชิ้น รวมถึงจานรองแก้วลายตุรกีน่ารักราคาไม่แพงด้วย
ในที่สุดทั้งคณะก็เดินมาบรรลุจุดที่ต้องการ มันคือหอคอย Galata Tower ไม่ทราบความสำคัญ แต่มุมมองจากซอยแคบสวยนัก เสียดายมุมที่ว่าสวย วันนี้กลับไม่สวย เพราะมีคณะถ่ายหนังมาจับจองพื้นที่ซอยถ่ายหนัง ซอยแคบๆจึงแออัดไปด้วยผู้คน และ อุปกรณ์ถ่ายหนัง ถ่ายหมาถ่ายแมวและคนเล่นละกัน
ขากกลับผ่านซอยที่มีภาพเขียนสวยๆวางขายริมถนน ก็แวะถ่ายภาพกันตามระเบียบ และแวะแลกเงินกันหน่อย
เดินกลับมา แวะตลาดปลาKaraköy Balık Pazarı ที่ท่าเรือใต้สะพานGalata Bridge ตั้งใจหาร้านอาหารทานปลาสดๆกันให้หนำใจ แต่หาร้านเหมาะๆไม่ได้ เดินข้ามสะพานกลับมาฝั่งที่เป็นที่พักพวกเรา ที่จริงเค้ามีทางเดินใต้สะพานที่มีร้านอาหารมากมาย เราเดินใต้สะพานมาครึ่งทาง และขึ้นมาเดินบนสะพานอีกครึ่งทางเพื่อเอาบรรยากาศ
ข้ามมาอีกฝั่ง ตามแผน เราจะมาขึ้นเรือเฟอรี่ชมวิวช่องแคบบอสฟอรัส แต่จำไม่ได้ว่าติดปัญหาอะไร เรือเต็มหรือได้ช่วงเวลาเย็นมากไปอะไรนี่แหละ หัวหน้าคณะเลยเปลี่ยนแผนเป็นนั่งเรือวันรุ่งขึ้นแทน เวลาต่อจากนี้ เป็นการนั่งชมวิวสักพักและไปเดินช้อปปิ้งตลาดSpice Bazaar เย็นเรามีแผนขึ้นไปเก็บภาพพระอาทิตย์ตกและทานอาหารเย็นสุดหรูที่ภัตตาคารHotel Arcadia Blue ที่เดิมกับที่เราแวะวันแรก
จากเชิงสะพานเราเดินข้ามถนนเข้าไปตลาดเครื่องเทศ แวะชิมไอศกรีมตุรกีDondurma ที่มีลูกเล่นในการเสริฟไอศกรีมให้คนซื้อได้สนุกสนาน แต่พวกเราเจอลูกเล่นอื่นที่ทำเอาเสียความรู้สึก ด้วยความที่กลัวจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง เราจึงตกลงว่าต่างคนต่างซื้อไอติม ต่างคนต่างจ่าย เพื่อนคนแรกจ่ายเป็นเงินตุรกีและรอเงินทอน มันก็ยังไม่ยอมทอนทำเป็นตักไอศกรีมให้คนอื่นๆ และเหมารวมทอนตังมั่ว ซึ่งพวกเราก็โวยวายว่าจะต่างคนต่างจ่าย มันก็ทำเป็นคุยกับเราไม่รู้เรื่อง โมเมว่าราคารวมนี่แหละ ทอนคืนให้เพื่อน แรกๆพวกเราก็ยั่วะที่ถูกโกงกันซึ่งหน้า ราคาตามที่คนขายบอกเราจะโดนโกงมิใช่น้อย เดินหัวเสียเข้าในตลาดและจับกลุ่มคุยกัน ถึงได้รู้ว่า เงินทอนที่คนขายทอนให้โดยบอกว่าเราให้เงินยูโร และทอนมาให้ เพื่อนยืนยันว่าให้เป็นเงินตุรกี ราคาเท่ากันแต่มูลค่าต่างกัน คิดไปคิดมาปรากฎว่าพวกเราได้กินไอติมฟรี เงินทอนเท่ากับเงินที่จ่ายไป คนขายมันจ้องจะโกง รับเงินและดูผิดเป็นเงินยูโร เค้าเรียกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
จากนั้นเราก็ซื้อขนม Lokum เตอรกีช ดีไลท์ และ Baklava ขนมบัคลาวา ขนมตุรกีที่เป็นไฮไลท์ของฝาก
และปิดท้ายทริปนี้ด้วยวิวสองฝั่งช่องแคบบอสฟอรัส จากบนเรือเฟอรี่
เช้านี้เรากลับมาเดินยามเช้าที่ The Blue Mosque อีกครั้ง ครั้งนี้มีชาวคณะมาด้วยกันหลายคน ก็เก็บแสงกับวิวเดิมๆอีกครั้ง
วันนี้จุดแรกที่จะไปคือ Basilica Cistern อ่างเก็บน้ำใต้ดิน หรืออุโมงค์ส่งน้ำใต้ดิน Yerebatan Sarnici หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า The Basilica Cistern สร่างในปี 532 ประมาณ 1476 ปีมาแล้ว รัชสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน เพื่อกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ในพระราชวัง ที่น่าพิศวงคือเสาคอลัมน์ที่ค้ำยันหลังคาอยู่ใต้ดิน มีความสวยงามมาก เป็นศิลปะแบบคอรินเทียนของโรมัน ถึง 336 สูงต้นละ 9 เมตร เรียง 12 แถว แถวละ 28 ต้น ในพื้นที่ยาว 142 เมตร กว้าง 65 เมตร เสาที่สลักเป็นรูปดวงตานกยูง หยดน้ำตาหรือดวงตาปีศาจ ตามแต่ใครจะเห็นเป็นรูปใด เรียกชื่อว่า Forum Tauri และเสาอีก 2 ต้นที่ไม่ควรพลาดชม ได้แก่ เสาที่มีหัวของเมดูซา กลับหัว วางเป็นฐาน และอีกเสาหนึ่งหัวเมดูซาตะแคงขวาอยู่เพราะเป็นเคล็ดไม่ให้เมดูซามองใครแล้วจะกลายเป็นหิน แต่จะให้อยู่เฝ้าอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ตลอดไป
จุดหมายต่อไป อันเนื่องมาจากเราเห็นภาพหอคอยในซอยแคบจากโปสเตอร์ริมกำแพง ที่เดินผ่าน ชี้ให้คุณเกาดูว่าที่ไหน คุณเกาก็ไม่รอช้าสนองตอบทันใด พาพวกเรานั่งรถรางข้ามสะพานGalata Bridge ไปลงหน้าตรอกแคบๆตรอกนึงไม่ทราบชื่อซอย แต่มี Karaköy Aparts พอเป็นจุดสังเกตได้ เราลงเดินจากปากซอย ผ่านร้านขายของที่ระลึกเยอะแยะมากมาย ชาวคณะเริ่มหายเข้าไปตามร้านต่างๆที่ละคนสองคน กว่าจะเดินไปจนสุดซอยก็ใช้เวลามากโข ได้ของติดไม้ติดมือกันคนละหลายๆชิ้น รวมถึงจานรองแก้วลายตุรกีน่ารักราคาไม่แพงด้วย
ในที่สุดทั้งคณะก็เดินมาบรรลุจุดที่ต้องการ มันคือหอคอย Galata Tower ไม่ทราบความสำคัญ แต่มุมมองจากซอยแคบสวยนัก เสียดายมุมที่ว่าสวย วันนี้กลับไม่สวย เพราะมีคณะถ่ายหนังมาจับจองพื้นที่ซอยถ่ายหนัง ซอยแคบๆจึงแออัดไปด้วยผู้คน และ อุปกรณ์ถ่ายหนัง ถ่ายหมาถ่ายแมวและคนเล่นละกัน
ขากกลับผ่านซอยที่มีภาพเขียนสวยๆวางขายริมถนน ก็แวะถ่ายภาพกันตามระเบียบ และแวะแลกเงินกันหน่อย
เดินกลับมา แวะตลาดปลาKaraköy Balık Pazarı ที่ท่าเรือใต้สะพานGalata Bridge ตั้งใจหาร้านอาหารทานปลาสดๆกันให้หนำใจ แต่หาร้านเหมาะๆไม่ได้ เดินข้ามสะพานกลับมาฝั่งที่เป็นที่พักพวกเรา ที่จริงเค้ามีทางเดินใต้สะพานที่มีร้านอาหารมากมาย เราเดินใต้สะพานมาครึ่งทาง และขึ้นมาเดินบนสะพานอีกครึ่งทางเพื่อเอาบรรยากาศ
ข้ามมาอีกฝั่ง ตามแผน เราจะมาขึ้นเรือเฟอรี่ชมวิวช่องแคบบอสฟอรัส แต่จำไม่ได้ว่าติดปัญหาอะไร เรือเต็มหรือได้ช่วงเวลาเย็นมากไปอะไรนี่แหละ หัวหน้าคณะเลยเปลี่ยนแผนเป็นนั่งเรือวันรุ่งขึ้นแทน เวลาต่อจากนี้ เป็นการนั่งชมวิวสักพักและไปเดินช้อปปิ้งตลาดSpice Bazaar เย็นเรามีแผนขึ้นไปเก็บภาพพระอาทิตย์ตกและทานอาหารเย็นสุดหรูที่ภัตตาคารHotel Arcadia Blue ที่เดิมกับที่เราแวะวันแรก
จากเชิงสะพานเราเดินข้ามถนนเข้าไปตลาดเครื่องเทศ แวะชิมไอศกรีมตุรกีDondurma ที่มีลูกเล่นในการเสริฟไอศกรีมให้คนซื้อได้สนุกสนาน แต่พวกเราเจอลูกเล่นอื่นที่ทำเอาเสียความรู้สึก ด้วยความที่กลัวจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง เราจึงตกลงว่าต่างคนต่างซื้อไอติม ต่างคนต่างจ่าย เพื่อนคนแรกจ่ายเป็นเงินตุรกีและรอเงินทอน มันก็ยังไม่ยอมทอนทำเป็นตักไอศกรีมให้คนอื่นๆ และเหมารวมทอนตังมั่ว ซึ่งพวกเราก็โวยวายว่าจะต่างคนต่างจ่าย มันก็ทำเป็นคุยกับเราไม่รู้เรื่อง โมเมว่าราคารวมนี่แหละ ทอนคืนให้เพื่อน แรกๆพวกเราก็ยั่วะที่ถูกโกงกันซึ่งหน้า ราคาตามที่คนขายบอกเราจะโดนโกงมิใช่น้อย เดินหัวเสียเข้าในตลาดและจับกลุ่มคุยกัน ถึงได้รู้ว่า เงินทอนที่คนขายทอนให้โดยบอกว่าเราให้เงินยูโร และทอนมาให้ เพื่อนยืนยันว่าให้เป็นเงินตุรกี ราคาเท่ากันแต่มูลค่าต่างกัน คิดไปคิดมาปรากฎว่าพวกเราได้กินไอติมฟรี เงินทอนเท่ากับเงินที่จ่ายไป คนขายมันจ้องจะโกง รับเงินและดูผิดเป็นเงินยูโร เค้าเรียกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
จากนั้นเราก็ซื้อขนม Lokum เตอรกีช ดีไลท์ และ Baklava ขนมบัคลาวา ขนมตุรกีที่เป็นไฮไลท์ของฝาก
และปิดท้ายทริปนี้ด้วยวิวสองฝั่งช่องแคบบอสฟอรัส จากบนเรือเฟอรี่
ทริปตุรกี ก็เป็นอันสิ้นสุดแต่เพียงแค่นี้ ขอบคุณที่ติดตามชมค่ะ
No comments:
Post a Comment
ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......