Monday 22 August 2022

Malaysia #1 - Kuala Lumpur








พึ่งกลับจากเที่ยว กัวลาลัมเปอร์ อีกครั้ง เลยนึกได้ว่า เราไปมาเลย์ตั้งหลายครั้ง ทำไมไม่เคยทำบันทึกการเดินทางไว้ เหมือนประเทศอื่นๆเลย  งงตัวเองเหมือนกัน อย่ากระนั้นเลย เอามามัดรวมไว้ที่นี่ละกัน 


ขอแบ่งบันทึกการเดินทาง เป็นตอนๆตามเมืองที่ไป คือ กัวลาลัมเปอร์ มะละกา คาเมรอน ปีนัง เพื่อมิให้บันทึกในตอนนี้มันยาวเกินไป


เราเริ่มที่เมืองหลวงกันก่อนเลย  กัวลาลัมเปอร์


กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) เป็นเมืองหลวงของประเทศมาเลเซียและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศด้วย  กัวลาลัมเปอร์มักจะเรียกย่อ ๆ ว่า KL กัวลาลัมเปอร์เป็นหนึ่งในสามเขตสหพันธ์ของมาเลเซีย ล้อมรอบด้วยรัฐสลังงอ บนชายฝั่งตะวันตกตอนกลางของคาบสมุทรมาเลเซีย    

กัวลาลัมเปอร์ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1857 โดยกลุ่มคนงานเหมืองที่ค้นพบแร่ดีบุกบริเวณสันดอนปากแม่น้ำซึ่งแม่น้ำกอมบักและแม่น้ำคลางมาบรรจบกัน  ผู้ที่ค้นพบเมืองกัวลาลัมเปอร์อย่างเป็นทางการได้แก่ ‘กัปตันเรือชาวจีน’ ชื่อ Yap Ah Loy ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากสุลต่านในการนำชาวจีนที่ระเหเร่ร่อนเข้ามาจัดระเบียบและตั้งถิ่นฐานที่นี่ ในปีค.ศ.1880 กัวลาลัมเปอร์ค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นเมืองอย่าง ‘แท้จริง’ โดยกลุ่มชาวเหมืองที่ประสบความสำเร็จและพ่อค้าต่างๆเริ่มปลูกสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยในย่านจาลันอัมปัง (Jalan Ampang) อีกทั้งชาวอังกฤษชื่อ แฟรงค์ สเว็ทเท็นแฮม ได้เขียนร่างผังเมืองกัวลาลัมเปอร์ขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงนั่น ต่อมาในปีค.ศ. 1886 ได้จัดสร้างทางรถไฟเพื่อเชื่อมโยงกัวลาลัมเปอร์ไปยังท่าเรือคลาง หลังจากนั้นเมืองก็มีการพัฒนาและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ   กัวลาลัมเปอร์จึงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องปีต่อปีหรืออาจเติบโตเกือบจะวันต่อวัน ซึ่งในปัจจุบันภายในเมืองมีตึกระฟ้าสร้างขึ้นจำนวนมากจนกลายเป็นป่าคอนกรีตในเวลาชั่วพริบตา 

แม้ว่าล่าสุดนั้นเมืองจะมีการเติบโตและพัฒนาเป็นอย่างมาก แต่กัวลาลัมเปอร์ยังคงรักษาความงดงามในอดีตไว้เช่นเดิม สามารถพบเห็นอาคารสิ่งปลูกสร้างสมัยยุคอาณานิคมตั้งเด่นสง่าอย่างน่าภูมิใจ เชื่อมต่อไปบนพื้นที่ทางเท้าที่มีสิ่งก่อสร้างรูปแบบทันสมัยมากมาย   






กัวลาลัมเปอร์ มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดจริงๆ เรามาครั้งแรกเมื่อปี คศ.2012 หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว สนามบินยังไม่ทันสมัย ยังไม่มีเกทเข้าเครื่องบิน ต้องเดินออกจากอาคารไปขึ้นเครื่องบิน บางครั้งมีเครื่องขึ้นพร้อมกันหลายลำ ทำให้ผู้โดยสารสับสนจนขึ้นผิดไฟล์ทตามที่เคยเป็นข่าวก็บ่อย 

แต่หลังสุดนี้ คือ ต้นเดือน สิงหาคม 2022 ไปไปอีกครั้งพบว่า สนามบินเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มีความใหญ่โตและทันสมัยมาก เวลาเช็คอินเราสามารถพิมพ์บอเดอร์พาสและแท๊กติดกระเป๋าที่เครื่องอัตโนมัติได้เลย ติดกระเป๋าเสร็จแล้ว ก็เดินไปเข้าช่องโหลดกระเป๋าด้วยตัวเอง ทำตามขั้นตอนที่ปรากฎบนจอ จนเสร็จ กระเป๋าที่ติดแท๊กแล้ว ก็จะเลื่อนลงรางไปเลย ประหยัดบุคคลากรไปได้เยอะเลย แต่เท่าที่สังเกต ผู้โดยสารส่วนใหญ่ยังไม่เคยชินกับระบบนี้ เงอะงะกันเป็นธรรมดา จนท. ก็ไม่มีมายืนอธิบาย ต้องงมทำกันไปจนสำเร็จแหละ

เช็คอินเสร็จ ด้วยความเคยชินกับสนามบินบ้านเราที่จะมี ร้านค้า ร้านอาหารอยู่ด่านใน หลังจากผ่าน ตม. แล้ว แต่ที่นี่ ร้านค้า ร้านอาหาร จะอยู่ด้านนอกแถวบริเวณ เช็คอิน ฉะนั้น ให้เดินซื้อของฝาก หรือทานอาหารให้เสร็จเรียบร้อยซะก่อน ค่อยเข้าช่อง ตม.  เพราะพอผ่านการตรวจเสร็จ ก็จะเดินไปเกทขึ้นเครื่องเลย อาจมาร้านค้าเล็กๆน้อย พอหาซื้อของฝากเล็กๆหรือ มาม่ากระป๋อง ได้บ้าง


ในการเดินทางหลังสุดนี้ เราใช้วิธีแลกเงินริงกิต โดยใช้บัตร Krungthai Travel Visa Platinum Card แลกเงินจากเงินบาท เป็นเงินริงกิต ใส่ไว้ในบัตร พอถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์ ก็เดินไปที่ตู้ เอทีเอ็ม ที่มีเครื่องหมาย VISA ใส่บัตรกดเงินเหมือนเรากด เอทีเอ็ม บ้านเรา สะดวกมาก ไม่ต้องพกเงินเยอะๆให้เสี่ยง

จากสนามบินจะเข้าเมืองยังไงดี

ง่ายมากๆเลย จากสนามบิน มีทั้งรถบัส รถไฟ เข้าในเมืองกัวลาลัมเปอร์ ค่ารถถูกมากเมื่อเทียบกับระยะทาง ถ้าเลือกเดินทางโดยรถบัส ค่ารถประมาณ 55 ริงกิต ( 550 บาท)  ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30-40 นาที  หรือถ้าเลือกโดยรถไฟ ค่ารถยิ่งถูกกว่า ประมาณ 12 ริงกิต (120 บาท )  แต่เราเลือกใช้รถบัส เพื่อไม่ต้องลากกระเป๋าขึ้นลงให้ลำบาก 

หรือถ้าไปกันหลายคน ใช้วิธีเช่ารถเก๋งพร้อมคนขับ ก็ได้ ค่าเช่ารถประมาณ 120 ริงกิต ถ้ามากัน 3-4 คน ก็คุ้มทีเดียว

 

ที่มาเลย์นี่ ชอบใจอยู่อย่าง คือเลือดรักชาติของคนที่นี่เค้าเข้มข้นดี ทุกหนทุกแห่ง เราจะเห็นธงชาติมาเลย์ โบกพลิ้วไสวไม่ว่าตามอาคาร หรือ ตามบ้านเรือนต่างๆ ไม่เห็นเค้าจะอับอายแบบเด็กๆบ้านเราเลย

ที่ในกัวลาลัมเปอร์ เราเลือกพัก โรงแรมที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า และ ป้ายรถเมล์ เพื่อสะดวกในการเดินทาง แต่เราต้องซื้อบัตร My Rapid หรือบัตรเติมเงินก่อน เพราะเค้าไม่รับเงินสด ซึ่งบัตรนี้สามารถไว้ใช้ชำระค่าโดยสาร รถไฟฟ้า รถเมล์ รวมถึงใช้ซื้อของได้ด้วย ซื้อได้ที่สถานีรถไฟฟ้า ค่าบัตร 15 ริงกิต ( เป็นค่ามัดจำบัตร 5 ริงกิต และเป็นเงินสำหรับใช้ขึ้นรถ 10 ริงกิต หมดก็เติมเงินตามตู้เติมเงิน ) 


 




ที่พิเศษกว่านั้น เรามาพบว่า เค้ามีบริการรถเมล์ฟรี สำหรับ ปชช. หลายสายเลย เช่น สายสีแดง สายสีม่วง เราใช้บริการนี้ นั่งรถชมเมืองซะทั่วเลย นอกจากรถ Monorail ที่เราใช้บริการนั่งชมเมือง ไปตามที่ต่างๆซะชำนาญ ส่วนรถไฟฟ้าใต้ดินก็ใช้บ้างนอกเวลาเร่งด่วน เพราะกลัวรถแน่น

อ้อ เวลาขึ้นรถเมล ให้ขึ้นด้านหน้านะคะ แล้วลงด้านหลัง อย่าเซ่อซ่าเหมือนพวกเรา ขึ้นหลังรถ โดนคนขับดุเอาเลย



จุดแรกที่จะแนะนำสำหรับทริปกัวลาลัมเปอร์ คือ สถานีรถไฟ Kuala Lumpur Sentral หรือเรียกสั้นๆว่า KL Sentral  ที่นี่เป็นชุมทางรวมรถทุกประเภท จะไปที่ไหนนึกไม่ออก ให้มาตั้งต้นที่นี่ ไม่ผิดหวัง  






นอกจากจะมีรถไฟสายต่างๆวิ่งไปจังรัฐต่างๆทั่วประเทศ  ที่นี่ยังมีรถบัสโดยสารให้บรการด้วย เท่าที่ถามไว้คือ รถบัสวิ่งระหว่างสนามบิน มายังตัวเมือง จะสิ้นสุดที่นี่  ค่ารถยังที่ได้บอกไว้ 55 ริงกิต   นอกจากนี้ถามๆไว้แต่ยังไม่ทันได้ใช้บริการ คือ รถบัสไปยัง เก็นติ้ง ซึ่งมีวิ่งเกือบทั้งวัน ใช้เวลาเดินทางแค่ ชั่วโมงกว่าๆ ที่สำคัญค่ารถถูกมาก แค่ 10 ริงกิตเท่านั้น ประเภทไปเช้ากลับเย็นก็น่าจะได้ เลยฝากเอาไว้ก่อน มาครั้งหน้าจะลองใช้บริการดู  ส่วนจะมีรถบัสไปที่อื่นอีกไม๊ พอดีไม่ได้สำรวจหรือถามไว้ 

ภายใน KL Sentral ไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็สูงหลายชั้น แต่ละชั้นเดินแป๊บๆก็ทั่ว มีร้านค้าต่างๆเปิดมากมาย รวมถึงร้านอาหารก็มากมาย  แต่เราก็พบว่า ราคาสินค้าต่างๆที่นี่ เทียบกับบ้านเราแล้วแพงกว่ากันมากมายนัก เรียกว่า กัดฟันซื้อไม่ได้เลย อาหารต่างๆก็แพงแม้จะเป็นเพียงฟาสฟู๊ดธรรมดา แต่ละมื้อก็ร้อยกว่าบาทขึ้นไปทั้งนั้น  ( อันนี้บอกได้เลย บ้านเราสวรรค์ชัดๆ) อาหารแนะนำให้ หาทานคืออาหารประจำชาติ Lasi Lermak  อร่อยสมคำร่ำลือ ส่วนพวกก๋วยเตี๊ยวสู้บ้านเราไม่ได้เลย



ตัวสถานีรถไฟ น่าจะขึ้นไปประมาณชั้น 2 หรือ 3  เดินๆตามคนเค้าไปก็ได้ หาไม่ยากนัก  ส่วนท่ารถบัส จากตัวสถานีรถไฟ ให้ลงบันไดลงมาชั้นล่างก็จะเจอท่ารถบัสเลย หาไม่ยากเช่นกัน 

ถ้ากลัวงง วันแรกๆที่มา ก็เดินสำรวจเอาสักหน่อย ถามไถ่ราคา ซื้อบัตรเติมเงินให้เรียบร้อยก็ดี


ที่ต่อไปซึ่งเป็น เดอะมัส  ไม่ไปไม่ได้ คือ วัดถ้ำบาตู

มาเลย์ ถึงแม้จะมีศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาประจำชาติ  แต่ก็มีศาสนาอื่นๆอยู่ร่วมกันได้แบบไม่เคอะเขิน หนึ่งในนั้นคือ ศาสนาฮินดู และ วัดถ้ำบาตูแห่งนี้ ก็เป็นวัดทางศาสนาฮินดู ที่สำคัญของชาวฮินดูที่นี่เลยทีเดียว

ถ้ำบาตูแห่งนี้ตั้งอยู่ในรัฐสลังงอร์ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของกรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยเป็นถ้ำหินปูนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและมีอายุมากกว่า 300 - 400 ล้านปีมาแล้ว โดยลักษณะของถ้ำมีความสูงใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหุบเขา โดยบริเวณทางขึ้นไปยังปากถ้ำนั้นมีความสูงชันด้วยขั้นบันไดมากกว่า 272 ขั้น 


การเดินทางไปวัดถ้ำบาตู สะดวกมาก นอกจากรถยนต์ส่วนตัวแล้ว รถไฟก็มีผ่านหน้าวัดเลย จากสถานี KL Sentral มาลงที่สถานี Batu Cave ค่ารถแค่ 11.20 ริงกิต ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง 





ลงจากสถานี จะมีทางเข้าเป็นประตูเล็กๆ ไม่ต้องเดินอ้อมด้านหน้า เข้ามาแล้ว จะเจอรูปปั้นหนุมาน สูงตระหง่าน ยืนแหวะอกอยู่ตรงทางเข้า


เดินมาจนถึงบันไดทางขึ้น สูงชัน 272 จะพบเทวรูป พระขันธ์กุมาร พระราชโอรสของพระศิวะ เป็นรูปปั้นสีทองที่สูงใหญ่มากๆ 




เดินกันจนลิ้นห้อย หายใจแทบไม่ทัน ก็บรรลุถึงปากถ้ำใหญ่


ผู้คนไม่มากนัก เพราะเป็นวันธรรมดา ถ้าวันหยุด เค้าว่าผู้คนล้นหลาม นั่งพักเหนื่อยสักนิดค่อยเดินเข้าไปก็ได้ ตัวถ้ำใหญ่โตมาก แต่ไม่ลึกนัก ที่นี่เข้าฟรี ไม่เสียค่าเข้า  ภายในถ้ำจะมีจุดบูชาเทพเจ้าเป็นระยะ ส่วนใหญ่จะเป็น พระศิวะและครอบครัว 



บรรยากาศภายในถ้ำ





ด้านในสุด จะมีบันไดขึ้นอีกมีมากนัก ขึ้นไปก็จะเจอปากปล่องโล่ง ที่ช่วยระบายอากาศทำให้ถ้ำนี้ไม่อับ เจอกลุ่มคนกำลังร่ายรำถวายพระศิวะ หน้าเทวรูปพระศิวะ ปางศิวะนาฎราช  





ขากลับออกมา เดินลงสบายกว่าตอนขึ้นมากนัก



ที่ต่อไปคือ ปุตราจายา 

ปุตราจายา (Putrajaya) เป็นเมืองใหม่ เกิดขึ้นจากแนวความคิดของอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ที่จะสร้างเมืองเพื่อเป็นที่ตั้งของฝ่ายบริหารและประมุขของประเทศ อยู่ทางตอนใต้ของกรุงกัวลาลัมเปอร์ 25 กิโลเมตร

ปุตราจายา เป็นเขตปกครองพิเศษ สร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการปกครองแห่งใหม่อยู่บนพื้นที่ของรัฐสลังงอร์  ชื่อ “ปุตราจายา” นี้มาจากชื่อนายกรัฐมนตรีคนแรกของมาเลเซีย นามว่า “ตนกู อับดุล รามัน ปุตรา อัลฮัจ”

สถานที่สำคัญในเมืองนี้มี มัสยิดปุตรา (Putra Mosque) หรือมัสยิดสีชมพู มีทะเลสาบด้านข้างมัสยิดซึ่งสามารถมองเห็นเงาสะท้อนสีชมพูที่ผิวน้ำจนดูเหมือนมัสยิดลอยน้ำ และที่ริมทะเลสาบยังมีสะพานเสรีวาวาซาน (Seri Wawasan) สะพานขึงรูปร่างแปลกตาอีกด้วย ด้านหน้าของมัสยิดปุตรา คือ ปุตราสแควร์ (Putra Square) ลานกว้างแห่งนี้มีรูปดาว 13 แฉก หมายถึงรัฐทั้ง 13 ของมาเลเซีย มีธงของแต่ละรัฐตั้งอยู่ตามแฉกต่าง ๆ ตรงกลางเป็นธงชาติมาเลเซีย และสถานที่อีกแห่งคือ ที่ทำการนายกรัฐมนตรี (Perdana Putra Complex) เป็นอาคารขนาดใหญ่มียอดโดมสีฟ้า ด้านหลังมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ตรงกลางสวนเป็นที่ตั้งของวังเมลาวาตี (Istana Melawati)





ที่แรกคือ มัสยิตปุตรา ( Putra Mosque)  ความสวยงามข้างต้นคือหนึ่งในหลายๆ สถานที่ของเมืองราชการแห่งนี้ ซึ่งก็คือ “มัสยิดปุตรา” (Putra Mosque) หรือ “มัสยิดสีชมพู” ยตัวอาคารและยอดโดมมีสีชมพูอ่อนหวาน ศิลปะแบบอิสลาม ยอดโดมสูง พร้อมทั้งลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งได้รับแรงบัลดาลใจมาจากมัสยิดชีคโอมาร์ (Sheikh Omar mosque) ในกรุงแบกแดด 

มัสยิดปุตรา (Putra Mosque)  ตั้งอยู่ริมทะเลสาบปุตราจายา ด้านหน้าของมัสยิดปุตรา คือ ปุตราสแควร์ (Putra Square) ลานกว้างแห่งนี้มีรูปดาว 13 แฉกหมายถึงรัฐทั้ง 13 ของมาเลเซีย มีธงของแต่ละรัฐตั้งอยู่ตามแฉกต่างๆ โดยตรงกลางเป็นธงชาติมาเลเซีย ภายในยังมีห้องสมุด แกลเลอรี และพิพิธภัณฑ์ให้ชมอีกด้วย





นอกจากนี้มัสยิดปุตรายังมีหอคอยสูงที่สวยงามสร้างขึ้นโดยได้รับอิทธิพลมาจากมัสยิดชีคโอมาร์ (Sheikh Omar mosque) ในกรุงแบกแดด โดยตัวหอคอยมีความสูงถึง 116 เมตร และยังเป็นหนึ่งในหอคอยที่สูงที่สุดในภูมิภาค มีห้ายอดเป็นสัญลักษณ์ของเสาหลักทั้งห้าในศาสนาอิสลาม



การเข้าด้านใน สำหรับคนต่างชาติทั้งหญิงทั้งชาย ต้องสวมเสื้อคลุมสีชมพู ซึ่งมาบริการให้ใช้ด้านในประตูทางเข้า ให้เรียบร้อย  และต้องถอดรองเท้าด้วย 






สะพานเสรีวาวาซาน (Seri Wawasan) สะพานแขวนข้ามทะเลสาบปุตราจายา รูปทรงสะพานสวยงามทันสมัย รถเมล์แทบทุกสายในเมืองต้องผ่านหรือมองเห็นสะพานนี้ เป็นจุดไฮไลท์สำคัญอีกแห่งในการถ่ายรูปในเมืองใหม่ปุตราจายา 

 สะพานนี้มีการออกแบบ ที่มีสายเคเบิลแบบอสมมาตรแห่งอนาคตแห่งนี้มีเสายาวไปข้างหน้ามีลักษณะของเรือแล่นเรือใบเน้นเสียงในเวลากลางคืนด้วยแสงสีที่เปลี่ยนแปลงได้ สะพานที่เรียกว่าสะพานหมายเลข 9






เรากลับมาเที่ยวกันต่อในกัวลาลัมเปอร์  จุดไฮไลท์อีกที่ ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง นั่นคือการไปชมตึกแฝด ปิโตรนาส  ( Petronas Twin Towers )  ชื่อมต่อกันด้วยสะพานลอยฟ้า   เป็นตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก ที่สูงตระหง่านถึง 452 เมตร มีด้วยกัน 88 ชั้น ใช้งบประมาณการก่อสร้าง 20,000 ล้านบาท ซึ่งเจ้าของตึกนี้เป็นเจ้าของน้ำมันยี่ห้อเดียวตึกนั่นเอง ส่วนการออกแบบตึกได้รับแรงบันดาลใจจากเสาหินทั้ง 5 ของอิสลาม ผสมผสานกับโครงเหส็กที่ท่อหุ้มในแต่ละจุด ทำให้เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามแปลกตามากเลยทีเดียว







บริเวณฐานของอาคารเป็นแหล่งซ็อบปิ้งขนาดใหญ่นั่นคือ ห้างสรรพสินค้า ซูเลีย ห้างสรรพสินค้าที่มีสินค้าแบรนด์เนมนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง มีห้างทันสมัยหลายห้าง  เช่น อิเซตัน และนอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบรอบๆเป็นอาคารคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ (ศูนย์ประชุม) สวนสาธารณะ สวนน้ำ สระน้ำพุดนตรี พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ (Discovery museum) และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอควาเรีย (Aquaria)







บ่ายๆเย็นๆ จะมีนักท่องเที่ยว และ ครอบครัว คู่รัก พากันมาจับจองพื้นที่ริมสระน้ำพุ เพื่อรอชมน้ำพุดนตรี ทุกคนจะจับกลุ่มนั่งคุยกันเงียบๆ ไม่อึกทึก หรือ ไม่มีการเหล่กันของวัยรุ่นให้คนรอบข้างต้องคอยหลบกระสุน เหมือนในไทย  บรรยากาศสวยงามสดชื่นท่ามกลางธรรมชาติที่ตกแต่งไว้สวยงาม ใครหิวก็เดินเข้าห้างหาอะไรทาน ทานอิ่มแล้วก็ออกมานั่งเล่นต่อได้  น้ำพุดนตรีจะเริ่มตอนเกือบ 2 ทุ่ม ใช้เวลาเล่นแค่ 3 เพลง ก็หยุด ซึ่งก็เป็นเวลาที่ทุกคนพร้อมใจกันเลิก เดินทางกลับ เป็นเช่นนี้ทุกวัน








การมาตึกแฝด ไม่ยากเย็น มีรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงสถานนีใกล้ๆตึก เดินไม่มากก็ถึงตึกแล้ว นอกจากนี้ยังมีรถเมลฟรีให้บริการวิ่งผ่านแถวนี้ด้วย  หรือจะเดินมาแบบเราก็ได้ เพราะโรงแรมที่พักอยู่ใกล้ๆ ตอนแรกว่าจะหารถเมล์มา เดินหาซื้อบัตรเติมเงิน เดินไปเดินมาอ้าวอีก 700 เมตรก็ถึงแล้ว ก็เลยเดินต่อจนถึง ขาไปยังคึกไม่เท่าไหร่ ขากลับ วุ้ย...ทำไมไกลจัง เดินเท่าไหร่ไม่ถึงโรงแรมซะที

 





เป็นที่น่าสังเกตว่า ภายในเมือง อาคารส่วนใหญ่ เป็นอาคารสูงแบบสูงมากกกกกก   เป็นอาคารสำนักงาน และ คอนโดที่พักอาศัย ตึกเล็กๆเตี้ยๆ หาน้อยมาก ต้องออกมาชานเมืองถึงจะพบอาคารเตี้ย เก่าๆดั่งเดิมให้เห็น  

หลังจากวันแรกเดินกันจนน่องโป่งแล้ว วันต่อๆมา เราก็พบสัจจะธรรมคือ ไปไหนใช้บริการรถเมล์ฟรี ถ้าไม่ผ่านก็ค่อยเลือก รถไฟฟ้าใต้ดิน หรือ โมโนเรล แทน ขนาดปรับวิธีการเที่ยวอย่างนี้ พอสิ้นวันมาดูจำนวนก้าวเดิน กลับพบว่า มากกว่าเดิมซะอีก คงเป็นเพราะเดินในอาคารต่างๆเยอะนั่นเอง

อีกย่านนึงที่อยากแนะนำ คือรอบๆบริเวณ จตุรัสเมเดก้า ( Dataran Merdeka )  ซึ่งได้รับการสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ การประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ ในวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1957 ธงชาติประจำชาติมาเลเซีย ที่ได้รับการชักขึ้นสู่ยอดเสา เมื่อเวลาเที่ยง คืนของวันที่ 30 สิงหาคม ซึ่งเสาธงนี้ยังเป็น เสาธงที่สูงที่สุด ในโลกอีกด้วย  ( สูง 95 เมตร )


รอบๆจตุรัสเมเดก้า เป็นอาคารสุลต่านอับดุล ซาหมัด ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ มาเลเซียไปแล้ว อาคารแห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบ มูริส อินเดียผสมผสานกับศิลปะ แบบอาหรับ อาคารนี้สร้างเมื่อเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เพื่อใช้เป็นศูนย์บริหาร อาณานิคมของอังกฤษ ปัจจุบันใช้อาคารที่ทำการของรัฐบาล





ด้าหลังของ อาคารสุลต่านอับดุล ซาหมัด  ได้รับการพัฒนาจัดภูมิทัศน์ใหม่ โดยเรียกโครงการนี้ว่า River of Life  ตรงจุดนี้จะเป็นจุดที่บรรจบกันของแม่น้ำ 2 สาย ชื่อ Klang river และ  Gombak river ซึ่งแม่น้ำ 2 สายนี้ เป็นหัวใจของเมืองในอดีต ชาวเมืองใช้ซักผ้า อาบน้ำ ปัจจุบันได้รับการปรับปรุงใหม่  มีสะพาน ทางเดินเท้า ที่นั้งเล่น มีสถานที่ให้แสดง สวนต้นไม้และดอกไม้ นอกจากนั้น วันเสาร์อาทิตย์ก็จะมีรถขายอาหาร  เป็นจุดพักผ่อนเล็กๆของชาวเมือง















อีกจุดนึง ถ้าเรายืนบนสะพานมองมาจะเห็น มัสยิดเด่นเป็นสง่า หลังเล็กๆท่ามกลางอาคารใหญ่โตรอบข้าง  ชื่อ Masjid Jamek of Kuala Lumpur 





มัสยิดจาเม็ก หรือชื่อทางการว่า มัสยิดสุลต่านอับดุล ซามัด จาเม็ก เป็นหนึ่งในมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย มัสยิดนี้ได้รับการออกแบบโดยอาร์เทอร์ เบนิสัน ฮับแบ็ก และสร้างใน ค.ศ. 1909 คำว่า "จาเม็ก" ในภาษามลายูมีความหมายเดียวกันกับในภาษาอาหรับ (جامع) ซึ่งหมายถึงสถานที่ที่ผู้คนมาสักการะ และคนในพื้นที่เรียกมัสยิดนี้ว่า "มัสยิดวันศุกร์"

ตัวมัสยิดมีรูปร่างสถาปัตยกรรมแบบมัวร์, อินโด-ซาราเซนิก หรือโมกุล 





การเข้าชม สำหรับคนต่างชาติ หญิงต้องสวมผ้าคลุมผม ส่วนชายต้องนุ่งโสร่ง 




ด้านใน เป็นโถงโล่งๆ ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่น เน้นการทำพิธีทางศาสนามากกว่า







ส่วนด้านนอกสวยงามทั้งตัวอาคาร และ การจัดตกแต่งบริเวณโดยรอบ




การเดินทางมาที่นี่ สะดวกมาก มีรถไฟฟ้าใต้ดิน มาลงที่สถานี Masjid Jamek ออกจากสถานี ก็เดินเข้ามัสยิดได้เลย

ถัดจาก River of Life แค่เดินข้ามถนน เราจะเจอ Central Market แหล่งขายของที่ระลึก งานศิลปะหัตถกรรมต่างๆ  คล้ายๆจตุจักรบ้านเรา แต่เล็กกว่า  เดินๆดู ราคาจับไม่ลง บางอย่างก็มีขายในบ้านเรา เช่นกางเกงลายผ้าบาติกต่างๆ ที่เราเห็นแขวนขายตามตลาดนัด ตัวละ 100 ที่นี่ราคา 49 ริงกิต ( 490 บาท) ฉะนั้นก็ได้แค่เดินชม ประหยัดไปเยอะเลย

เดินออกมาข้ามถนนเดินไปอีกนิด จะพบย่าน ไชน่าทาว์น และ สตรีทฟู๊ด แหล่งขายของกินและร้านอาหาร เมื่อก่อนที่เคยมา ถนนนี้แน่นขนัดด้วยผู้คน นักท่องเที่ยวแน่นมาก แต่ช่วงนี้เบาบางมาก คนขายมากกว่าคนซื้อ และอาหารก็แพงมาก


ส่งท้ายด้วยภาพสตรีทอาร์ต สวยๆ  ที่นี่อาคารเก่าที่ยังใช้งานอยู่ เค้าจะวาดงานศิลปะลงไว้ที่ตัวอาคารเลย ดูแล้วก็เพลิดเพลินดี









โพสต์หน้า จะพาไปเที่ยว มะละกา กันนะคะ ติดตามชมได้ค่ะ


No comments:

Post a Comment

ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......