Friday 14 February 2020

Europe 2019(7) - Rome Italy

8-11 Dec 2019



ติดตามตอนแรก Vienna Austriaได้ที่นี่
https://somersetmghm.blogspot.com/2020/02/europe-2019-vienna.html

Budapest Hungary ตอน2
https://somersetmghm.blogspot.com/2020/02/europe-20192-budapest.html

Krakow Poland ตอน3
http://somersetmghm.blogspot.com/2020/02/europe-20193-krakow-poland.html

Gdansk Poland ตอน4
https://somersetmghm.blogspot.com/2020/02/europe-20194-gdansk-poland.html

Warsaw Poland ตอน5
https://somersetmghm.blogspot.com/2020/02/europe-20195-warsaw-poland.html

Vienna Austria ตอน6 (อีกครั้ง)
https://somersetmghm.blogspot.com/2020/02/europe-20196-vienna-austria.html


ตอนสุดท้ายสำหรับทริปนี้ คือ กรุงโรม เราจากเมืองไทยมานานหลายวัน จนหลายๆคนเริ่มคิดถึงบ้านกันบ้างแล้ว แต่ยังก่อน ที่ผ่านมาถือว่าแค่น้ำจิ้ม ไฮไลท์สำคัญ และเป็นเมืองที่พวกเราโหวตให้เป็น จุดหมายในดวงใจ คือ กรุงโรม ประเทศอิตาลี เป็นเมืองที่เราหลงรักเต็มเปา ต้องกลับไปอีกครั้งให้ได้

ก่อนเดินทางมา ข่าวคราวโจรล้วงกระเป๋า หนาหู มีแต่เพจที่เตือนให้ระวัง จนเรากลัวว่าจะเที่ยวไม่สนุก หรือ มีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น แต่ก็ระวังตัวกันเต็มที่ เราไม่ใช้กระเป๋าเป้ให้เตะตาโจร กระเป๋าสตางค์ ก็หากระเป๋าที่ห้อยคอสอดไว้ในเสื้อแจ๊คเก็ตอีกที ช่วยกันสอดส่องดูแลซึ่งกันและกัน

แต่พอเดินทางมาจริงๆ ก็พบว่าไม่ได้แตกต่างจากเมืองใหญ่อื่นๆที่ผ่านมา แค่ระวังตัวเองดูแลตัวเอง นอกนั้นก็ไม่มีอะไร เราเห็นพวกยิบซี คนไร้บ้าน เดินเพ่นพ่านในหมู่คนแต่ก็ไม่มีอะไร อีกอย่างตำรวจหรือทหารก็มีตามจุดสำคัญๆ ให้เห็นตลอด บางครั้งพวกยิบซีมาตื้อขายของก็โดนตำรวจช่วยมาไล่ให้ด้วย

จากเวียนนา เรานัดรถตู้ที่ทางอพาทเม้นต์ช่วยจัดการให้ มารับพวกเรา 5 คน (ส่วนอีก 4 คน จะไปเที่ยวที่อื่น และกลับไทยวันรุ่งขึ้น)  เวลา 10.00 น. และรถก็มาตรงเวลาเป๊ะๆ มีหิมะโปรยส่งท้ายกันเล็กน้อย  ที่สนามบินคนเยอะมาก และโดนตรวจกันอย่างเข้มข้นมาก  ขอแนะนำว่า พวกถุงอุ่น ถุงร้อนทั้งหลาย จับใส่กระเป๋าใบใหญ่โหลดเข้าใต้เครื่องซะ อย่าพกติดตัว ไม่งั้นจะเสียเวลาโดนตรวจต่างหาก และ ห้ามพกขึ้นเครื่องต้องโยนทิ้งลงถัง เสียของปล่าวๆ

ผ่าม ตม. ที่เข้มข้นเข้าเกตแล้ว มีของให้ช้อปมากมาย เรายังไม่ซื้อ เก็บไว้ซื้อวันเดินทางกลับ เพราะต้องกลับมาขึ้นเครื่องที่นี่เพื่อกลับไทย  ควักบัตรเบ่งเข้าไปนั่งสบายๆในเล้าจ์แทน 17.50 ก็ได้เวลาเหิรฟ้าไปกรุงโรมกัน

19.35 เดินทางถึงสนามบิน Leonardo da Vinci International Airport เรานัดรถให้มารับเราที่สนามบิน กว่าเราจะเดินทางถึงที่พักก็ สามทุ่มกว่าแล้ว  ที่พักที่โรม เราเลือก อพาทเม้นต์ใกล้ๆน้ำพุเทรวี่ ชื่อ Relais Rasella 47 เก่าไปนิด แต่ทำเลสุดยอด ไปไหนมาไหนสะดวกที่สุด ห้องครัวเล็กไปหน่อย แต่ไม่เป็นปัญหาเพราะไม่ต้้งใจจะทำครัว ซื้อทานดีที่สุดไม่เสียเวลาเที่ยว








พอมีเวลานิดหน่อย เดินไปดูน้ำพุเทรวี่สักนิด ดึกขนาดนี้ผู้คนยังมากมาย และตลอด 3 วัน เราก็เดินผ่านน้ำพุเทรวี่ตลอด คนก็แน่นตลอดเช่นกัน

น้ำพุ Trevi เป็นน้ำพุแบบบาโรกที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโรม โดยมีขนาดความสูงถึง 85 ฟุต  และความกว้างถึง 65 ฟุต น้ำพุแห่งนี้นั้นสวยงามด้วยรูปปั้นที่มีความหลากหลายรูปแบบและเปี่ยมไปด้วยความหมาย อีกสิ่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อและเป็นเอกลักษณ์ให้นักท่องเที่ยวมาเยือนที่น้ำพุแห่งนี้คือการโยนเหรียญ อธิษฐานขอให้ได้กลับมาที่กรุงโรมอีกครั้งก่อนที่จะหันหลังแล้วโยนเหรียญข้ามไหล่ซ้ายให้เหรียญหล่นลงไปในน้ำพุให้ได้ แต่ปัจจุบันดูเหมือนจะห้ามนักท่องเที่ยวไม่ให้โยนเหรียญลงในน้ำพุแล้ว






วันที่ 9 ธค.  มาถึงโรมไม่แวะ กรุงวาติกันก็คงกระไรอยู่ ที่แรกของพวกเราก็ต้องมา วาติกันก่อน เราจองตั๋วเข้า Vatican Museums มาจากเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเข้าแถวรอซื้อตั๋วที่ยาวเหยียด แต่ก็ต้องเข้าตามเวลาที่เราจองไว้ เราจองรอบ 9.30 น. แต่มาถึงก่อน จนท.ให้รอเข้าตามรอบ แต่เราก็มั่วไปยื่นตั๋วให้ จนท.อีกคน ก็เลยได้เข้าก่อนเวลา











เข้ามาด้านใน จะเป็นโถงขายของที่ระลึก และใกล้ๆกันคือทางออก ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง คือบันใดเวียน ถ้าจะออกก่อน คือทางออกตรง Sistine Chapel  เพื่อไป St. Peter's Basilica ก็ควรแวะบันไดเวียนซะก่อน





เข้ามาด้านในแล้ว จุดแรกคือ พิพิธเกี่ยวกับอียิปต์ Gregorian Egyptian Museum แม้ของต่างและมัมมี่จะดูล้ำค่า แต่ก็น่าสังเวช ที่ของมีค่าของชาติอื่นคืออิยิปต์ แต่กลับมาอยู่ที่วาติกัน มันแสดงถึงการถือสิทธิ์และช่วงชิงของคนอื่นมาเป็นของตนเอง แต่ก็อย่าคิดมาก เด้วจะดูไม่สนุก






















ถัดออกมาคือ Cortile Ottagonale เป็นลานโล่งเล็กๆ ให้หายใจนิดนึง หลังจากต้องเดินในห้องทึบที่มืด








อีกจุดคือ Sphere Within Sphere เป็นลานสนามหญ้ากว้าง มีลูกโลกอยู่ตรงกลาง Sphere หมายถึงโลก ส่วนความหมายของรูปหล่อสำริดนี้จะมีความหมายอะไรคงต้องค้นหากันอีกที



หลังจากนี้ เราก็เริ่มงงว่าอยู่ตรงไหน เพราะตลอดเส้นทาง มีแต่รูปปั้นโรมัน ผู้ชายก็เปลือยอวดสรีระ เพลิดเพลินกับเหล่ารูปปั้น จนกลับไทยยังเจ็บตาไปหลายวัน







































จนในที่สุดเราก็เดินเลยทางออกตรง Sistine Chapel ก็ต้องเลยตามเลย เพราะเดินย้อนกลับไม่ได้ มาออกทางออกปกติ













ออกมาทางออกปกติ ก็ต้องเดินย้อนอ้อมเดินอีกไกล เพื่อไปยัง St. Peter's Basilica แถวเข้าเครื่องตรวจอาวุธค่อนข้างยาว แต่ก็ไปเร็วรอไม่นาน เข้ามาภายใน St. Peter's Basilica ต้องร้องว้าว ด้วยความอลังการงานสร้าง ใหญ่โตและอลังการสวยงามจริงๆ


























จนบ่ายแก่ๆ จึงจบทริปวาติกัน เพียงเท่านี้ เรานั่งรถเมลกลับมาที่พัก ลงรถแล้ว เห็นห้างซาร่า ก็เดินเลี้ยวเข้าห้างแบบไม่ต้องถามกัน ได้เสื้อกันคนละตัวสองตัว และกระเป๋า Samsonite ราคาเบาๆกันคนละใบ ถ้ามีเวลาหรือเพิ่มน้ำหนักบนเครื่องบินได้ คงได้กันมากกว่านี้

วันที่3 ของทริปโรม วันนี้วางแผนว่าจะไป Colosseum และเดินดูซากเมืองโบราณแถวๆนั้น บ่ายๆเย็นๆจึงจะมาที่  วิหารPantheon และ  Spanish Steps

แต่มาทราบว่า ตั๋วรถเมลสามารถใช้ไม่จำกัดครั้งภายใน 3 ชม. ได้ ฉะนั้นเลยเปลี่ยนแผนลงกลางทาง แวะเข้ามหาวิหาร Pantheon ซะก่อน จากที่พักนั่งมา 4 ป้าย ลงแล้วเดินอีกนิดก็ถึง

Pantheon นี้ เราตามรอยหนัง The Davinci มาโดยแท้ แต่ตามประวัติจริง มหาวิหารแพนธีออน ที่มาอายุกว่า 2,000 ปี (แข็งแรงมาก) แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยะแห่งการสร้างสรรค์ของสถาปนิกสมัยโบราณกับเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร คือ เป็นวิหารทรงกระบอก กว้าง 142 ฟุต และสูง 142 ฟุตเท่ากัน ไม่มีเสาค้ำกลางคอยรับน้ำหนักทั้งที่มีขนาดใหญ่โต ทางเข้าด้านหน้าทำเป็นมุขที่มีหลังคาสามเหลี่ยมหน้าจั่วและมีเสาตั้งเรียงกันอยู่เหมือนวิหารกรีก และมีหลังเป็นคาโดมโค้งมนมีช่องวงกลมขนาดใหญ่ตรงกลางให้แสงผ่านเข้ามา เรียกช่องนี้ว่า “โอคูลุส” (Oculus)

ด้านหน้าจะมีน้ำพุ Fontana del Pantheon










เข้าดูภายในมหาวิหารกัน ช่องแสงด้านบนเรียกว่า โอคูลุส แปลว่า ตา ซึ่งหมายถึงสัญลักษณ์ของตาจากสวรรค์ ช่องแสงขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 30 ฟุตนี้มีความเชื่อกันว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า แต่เมื่อเร็วๆ นี้ นักประวัติศาสตร์เสนอคำอธิบายที่น่าสนใจเกี่ยวกับรูรับแสงนี้ว่ามันถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นนาฬิกาแดดและช่วยส่องแสงสว่างให้กษัตริย์ในอดีตในขณะที่เสด็จมาประกอบพิธีสำคัญๆ ภายในวิหาร โดยร่างของกษัตริย์จะถูกอาบด้วยลำแสงของดวงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาผ่านช่องแสงนี้



















เราเดินทางต่อด้วยตั๋วใบเดิม ทริปนี้เราเดินซะเป็นส่วนใหญ่ จึงมิได้ซื้อตั๋วเหมา ตั๋วรถเมลเราสามารถหาซื้อได้ตามซุ้มขายบุหรี น้ำดื่ม

เราขึ้นรถเมลไปลงที่ Colosseum เข้าแถวซื้อตั๋ว ซึ่งต้องเข้าแถวทุกคน จะฝากให้พรรคพวกซื้อมาให้ทั้งกลุ่มไม่ได้ เพราะ จนท.เค้าต้องตรวจว่าเป็นนักท่องเที่ยวจริง ไม่ใช่พวกยิบซีมาซื้อตั๋วผี ไปขายโก่งราคาด้านหน้า

โคลอสเซียม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม  อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปี สนามกีฬานี้้ใช้แข่งขันกีฬาต่างๆ ทั้งเกลดิเอเตอร์สู้กันเอง โดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน หรือสู้กับสัตว์ป่า อาทิ สิงโต เสือ และช้าง เป็นต้น โดยมีชีวิตเป็นเดิมพันเช่นกัน
















ออกจากโคลอสเซียม ก็เดินเลียบถนนสาย Via dei Fori Imperiali ที่มีซากเมืองโบราณตลอด 2 ข้างทาง ไปสิ้นสุดปลายถนนที่ Piazza Venezia














เดินเลี้ยวตามฝูงชน ขึ้นไปบนตึก Sepolcro di Caio Publicio Bibulo ซึ่งทราบภายหลังว่าน่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ของกองทัพ เค้าให้ขึ้นไปได้ถึงยอดตึก ชมวิวมุมสูง โดยไม่เสียเงิน




















บนดาดฟ้าตึก มีร้านอาหารของกองทัพเปิดขายในราคาถูก เราพักขานั่งดื่มกาแฟและขนมปังกันสักพัก ก็กลับที่พัก เย็นๆก็ออกมาเดินไป Spanish Steps และกะว่าจะช้อปปิ้งของแบรนด์เนมแถวๆนั้นด้วย โดยเราไม่รู้ว่า คนที่นี่ พอแดดหมดเค้าก็รีบปิดร้านกัน เลยอดช้อปเลย เดินไปเดินมาก็มาทะลุห้างซาร่าที่เคยเข้าเมื่อวาน ก็แวะอีกสักหน่อย












รุ่งขึ้น เรานัดรถมารับ 6 โมงเช้า เพื่อไปส่งสนามบิน 8.40 เราก็บินกลับมายังเวียนนา เรามีเวลาทั้งวันที่เวียนนา แวะเที่ยวและช้อปของฝาก
( ดูรายละเอียดที่ http://somersetmghm.blogspot.com/2020/02/europe-20196-vienna-austria.html )

วันที่ 12 ธค. เราก็เดินทางกลับประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ จึงขอจบทริปยุโรป 2019 แต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณที่ติดตามมาจนจบค่ะ



No comments:

Post a Comment

ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......