Wednesday 8 January 2020

Turkey 2019 - Istanbul

12-23 October 2019

ถ้าถามว่า ตอนที่เริ่มต้นเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกๆ อยากไปประเทศไหนที่สุด?

ตุรกี  จะเป็นคำตอบ 5 อันดับแรก แต่หลังจากเที่ยวไปทั้ว ประเทศโน้น ประเทศนี้ บางประเทศไปมากกว่า 5 ครั้ง ผ่านไป 20 กว่าปี ก็ยังไม่ได้ไปเยือน ตุรกี สักที

ทั้งนี้เพราะ สมัยโน้น ตุรกี จะเดินทางไปยากมาก ต้องไปกับทัวร์เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความยากในการหาข้อมูลการเดินทาง  ความไม่สงบด้านการเมือง และ ข่าวภัยแผ่นดินไหวเนืองๆ  อีกทั้งค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่วระดับเกือบ 6 หลัก ทำให้เราโต๋เต๋ไปประเทศอื่นๆก่อน   จนในที่สุดระดับความอยากก็ตกผลึก ได้มีโอกาสไปกับเค้าซะที

เนื่องจากขี้เกียจทำการบ้าน หาข้อมูล และความป่วยไข้ที่ทำให้ พลังในการตั้งตัวจัดทริปเองเหือดหายไป ขอเที่ยวแบบสบายๆไม่ต้องทำอะไร แต่ได้ไปในที่ที่เราอยากไปในแบบของเราเหมือนจัดทริปเอง ไม่ใช่ชะโงกทัวร์แบบไปกับทัวร์   ดังนั้น เมื่อคุณเกา (คุณจิรชมน์ ฉ่ำแสง) ช่างภาพมือโปร โทรมาชวนก็ตัดสินใจตอบตกลงทันทีแบบไม่รีรอ  ทั้งๆที่อีกเดือนถัดมา จองตั๋วเครื่องบินและที่พักไปเที่ยวยุโรปยาวครึ่งเดือนไว้เรียบร้อยแล้วด้วย

อย่างที่บอก ทริปนี้ เราไม่ได้หาข้อมูล ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากมายเลย ทุกอย่างแล้วแต่คุณเกาจะกำหนด ไม่กังวลอะไรเพราะรู้ใจกันดีกับการร่วมเดินทางในหลายๆทริปที่ผ่านมา ไม่เคยผิดหวังเลยสักครั้ง ท่านหัวหน้าคณะจะพาเราไปเที่ยวชมและสรรหามุมถ่ายภาพสวยๆให้เราได้ภาพงามๆกลับมาทุกทริป  อุปกรณ์ถ่ายภาพที่เตรียมไป คือ กล้อง Sony RX100 กล้องคอมแพค 24-200 มม. และ โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Hauwei P30 pro ทริปนี้กล้องโปรไม่เกี่ยวแต่อย่างใด มีแต่หัวเหว่ยโปรเท่านั้น



และวันเดินทางก็มาถึง นัดพบกันที่สุวรรณภูมิ 8 โมงเช้า คณะนี้มีทั้งหมด 8 คน  เดินทางโดยสายการบิน การ์ต้า แวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินโดฮา ประเทศการ์ต้า คุณเกา หัวหน้าคณะเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเพื่อเตรียมสถานที่และติดต่อเช่ารถให้คณะที่จะตามหลังมา









หลังจากทนทรมาณกับการนั่งอยู่กับที่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดเราก็เดินทางถึง สนามบินกรุงอิสตันบูล เมือเวลาทุ่มกว่าๆ








 เมืองอิสตันบูล มองจากบนฟ้า แน่นขนัดทุกตารางนิ้วมีแต่อาคารสิ่งปลูกสร้างหลังคาแทบเกยกัน และเมือลงมาที่ระดับพื้นดิน ก็ประจักษ์ชัดกับความแน่นขนัดของอาคาร ที่สร้างซ้อนทับเกยกัน กับถนนเล็กๆแคบๆ ที่น่าจะสร้างปัญหาด้านการจารจร แต่ก็กลับไม่ค่อยมีปัญหา เพราะระบบขนส่งมวลชนที่รัฐบาลทำไว้อย่างดี สัญจรได้สะดวกจึงทำให้คนส่วนใหญ่ใช้บริการรถเมลล์รถราง แม้กระทั่งเรือโดยสาร ไม่ค่อยใช้รถส่วนตัว เนื่องจากหาที่จอดรถยากนั่นเอง





หลังจากเข้าที่พัก ที่คุณเกาเลือกคือ Pierre Loti Hotel (https://goo.gl/maps/cocKXoHHQ6S8M8Th8) ซึ่งอยู่ใกล้ Sultanahmet และ The Blue Mosque มากๆ  พรุ่งนี้จะเริ่มต้นสำรวจเมืองอย่างแท้จริง วันนี้ขอพักเอาแรงก่อน

และเพื่อให้ได้อรรถรสในการติดตามทริปนี้ เรามาทำความรู้จัก เมืองอิสตันบูลกันสักนิด

Istanbul was Constantinople
Now it's Istanbul, not Constantinople
Been a long time gone, Oh Constantinople
Now it's Turkish delight on a moonlit night
Every gal in Constantinople
Lives in Istanbul, not Constantinople
So if you've a date in Constantinople
She'll be waiting in Istanbul
Even old New York was once New Amsterdam
Why they changed it I can't say
People just liked it better that way
So, Take me back to Constantinople
No, you can't go back to Constantinople
Been a long time gone, Oh Constantinople
Why did Constantinople get the works?
That's nobody's business but the Turks
Istanbul
Istanbul
Istanbul
Istanbul
Even old New York was once New Amsterdam
Why they changed it I can't say
People just liked it better that way
Istanbul was Constantinople
Now it's Istanbul, not Constantinople
Been a long time gone, Oh Constantinople
Why did Constantinople get the works?
That's nobody's business but the Turks
So, Take me back to Constantinople
No, you can't go back to Constantinople
Been a long time gone, Oh Constantinople
Why did Constantinople get the works?
That's nobody's business but the Turks
Istanbul


Istanbul was Constantinople . Now it's Istanbul, not Constantinople  เช่นนั้นตามเพลงข้างบนจริงๆ อิสตันบูล (İstanbul) เดิมชื่อ คอนสแตนติโนเปิล  หลังจากสงครามประกาศอิสรภาพตุรกี  เมืองอังการาได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงของตุรกี และเมืองคอนสแตนติโนเปิลได้เปลี่ยนชื่อเป็นอิสตันบูลในปัจจุบัน

จุดเด่นพิเศษของเมือง Istanbul คือ เป็นเมืองเดียวในโลกซึ่งตั้งอยู่ระหว่าง 2 ทวีป ได้แก่ เอเชียกับยุโรป อาณาเขตของเมืองนี้ ถูกแบ่งพื้นที่ออกจากกันด้วยช่องแคบ Bosphorus ส่วนทะเลซึ่งคั่นระหว่าง 2 ทวีปนี้ก็คือ ทะเล Marmara  อิสตันบูลจึงถือว่าเป็นสะพานเชื่อมระหว่างซีกโลกตะวันออกและตะวันตก

ในอดีตเมืองอิสตันบูลก่อตั้งขึ้นภายใต้ชื่อ ไบแซนไทน์ (Βυζάντιον) บนแหลมซาเรย์บูนู  เมื่อเวลาผ่านไปตัวเมืองค่อยๆขยายขนาดและอิทธิพลเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยหลังจากการสถาปนาเป็นกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปี ค. ศ. 330 เมืองไบแซนไทน์ได้กลายเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในช่วงเวลานั้น ก่อนที่ชาวออตโตมานจะพิชิตเมืองในปี ค.ศ. 1453 และเปลี่ยนให้กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ของจักรวรรดิออตโตมันและศาสนามุสลิมในที่สุด ดังนั้นกว่าจะมาเป็น Istanbul ก็ได้เปลี่ยนชื่อเมืองมาถึง 3 ชื่อด้วยกัน ชื่อแรก คือ Byzantium ก็เปลี่ยนมาเป็น Constantinople ส่วนชื่อสุดท้ายคือ Islambul แต่ด้วยการเรียกไปเรียกมาเสียงจึงเพี้ยนเป็นชื่อ Istanbul มาจนถึงปัจจุบันนี้

Istanbul เป็นเมืองสำคัญนับตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เพราะตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมาก คือ บริเวณปากทางเข้า-ออกของช่อง Bosphorus จึงทำให้สามารถควบคุมเส้นทางการค้าระหว่างทะเล Mediterranean และทะเลดำได้ นอกจากนี้แหล่งที่ตั้งของเมืองซึ่งอยู่บริเวณปากน้ำ เรียกว่า Golden Horn  มีลักษณะคล้ายคลึงคาบสมุทรขนาดเล็ก มีน้ำทะเลโอบรอบ 2 ด้าน จัดเป็นปราการที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติที่ดีมาก อีกทั้งยังตั้งอยู่บริเวณเนินเขา 7 ลูก เป็ชัยภูมิที่ดีให้สามารถมองเห็นภูมิประเทศโดยรอบได้อย่างชัดเจน ด้วยอาหารการกินอันเป็นเอกลักษณ์ บวกกับผู้คนพื้นเมืองที่มีอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมหยิบยื่นความช่วยเหลือพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทุกประเทศอย่างแท้จริง

จุดศูนย์กลางของเมือง Istanbul จะอยู่ ณ บริเวณ Sultanahmet โดยเป็นบริเวณของ Old City ซึ่งเป็นแหล่งที่ตั้งของพระราชวังโบราณ , โบสถ์ของชาวคริสต์ , มัสยิดของอิสลาม , โบราณสถาน , พิพิธภัณฑ์ รวมทั้งอาคารแบบ Ottomanและแบบยุโรป ยังเก็บรักษาไว้แบบครบถ้วน แต่ในขณะเดียวกันก็คงไว้ซึ่งบรรยากาศของวัฒนธรรมอันหลากหลายของอารยธรรม Byzantine กับ Ottoman ควบรวมไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ยังผสมผสานเสน่ห์อันไม่เหมือนใครของเมืองนี้ และสามารถผสมกันได้อย่างลงตัวสุดๆ โดยเป็นเมืองซึ่งได้รับการขนานนามว่า East meets West ทั้งทางด้านภูมิศาสตร์ , ประวัติศาสตร์ , วัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมระหว่าง Greek , Roman , Ottoman ส่วนในเรื่องของศาสนาก็เป็นผสมระหว่างคริสต์และอิสลาม อีกทั้งยังเป็นเมืองซึ่งผสมผสานออกมาได้อย่างกลมกลืนระหว่าง ความโบราณทางประวัติศาสตร์บวกความทันสมัยได้อย่างดีเยี่ยม





และที่สำคัญ ตุรกี เป็นประเทศแห่งแมว หรือ สวรรค์ของบรรดาเหมียว หง่าว ทั้งหลายโดยแท้จริง ทุกหนแห่งจะเต็มไปด้วยแมวสวยๆ อ้วนท้วนแข็งแรง จะพบเจอคนตุรกีเอาอาหารดีๆ มาเลี้ยงแมวจรตลอด ของที่ระลึกทั้งหลายก็ไม่พ้นที่จะมีซีรี่ย์แมวๆ มาให้คนรักแมวซื้อหาเอาไปฝากคนที่บ้านด้วย




























 เรามาเริ่มต้นทริปกันสักทีดีกว่า  วันนี้เป็นวันที่2 หลังจากวันแรกหมดไปกับการเดินทาง เช้านี้ด้วยความที่ยังไม่รู้จักถนนหนทาง จึงยังไม่ซ่าส์ออกไปเดินเล่น คงตื่นมาทำธุระส่วนตัวและลงมารับประทานอาหารเช้า ที่ห้องอาหารของโรงแรม ซึ่งต่อจากนี้ทุกวันไม่ว่าจะอยู่ที่ โรงแรมไหนๆในประเทศตุรกี จะมีเมนูอาหารเช้าที่เหมือนกันหมดและรสชาดคงเอกลักษณ์เหมือนกันทุกแห่ง

อาหารเช้าในโรงแรม ประกอบด้วย ของสำคัญที่คนตุรกีขาดไม่ได้คือ ชีส สารพัดชีสที่เค้ามาขึ้นโต๊ะอาหารเช้าอย่างเป็นล่ำเป็นสัน  ลองชิมแล้วไม่อร่อยเลยสักอย่าง ดังนั้น ชีสตุรกีกับเราจึงต่างคนต่างเดินคนละทาง ไม่เคยได้บรรจบลงกระเพาะเราสักครั้ง  ส่วนอาหารอื่นๆก็จะเป็นพวก ขนมปังที่คงความแข็งได้คงเส้นคงวา ใส้กรอก สลัดผักสดมากน่าอร่อยแต่เราพวกไม่ชิมผักดิบเท่าไหร่ก็เลือกมาได้เฉพาะที่ทานได้  ที่ทานได้ดีน่าจะเป็นพวกผลไม้แห้ง เช่น อินทผาลัม แอปริคอท พลับแห้ง ถั่ว ที่ทานร่วมกับโยเกิตและน้ำผึ้งหรือแยมผลไม้ เครื่องดื่มที่สำคัญคือ ชาตุรกีที่เข้มซะใจคอชา



















นั่งทานอาหารเช้า ตาก็มองออกไปด้านนอก แสงเช้าสวยๆกับเงาต้นไม้ อดที่จะสอยมา 2-3 ภาพไม่ได้




อิ่มดีแล้ว วันนี้เราจะเดิน เดิน เดิน กันค่ะ เพราะที่เที่ยวอยู่ติดกับโรงแรมนี่เอง  ก่อนอื่นต้องเอาแลกเงินตุรกีกันซะก่อน  เราแลกเงินยูโรมาจากเมืองไทย ด้วยอัตราแลกเปลี่ยน 1 ยูโรต่อ 36.7 บาท  และมาแลกเงิน ลีราตุรกี 1 ยูโร ต่อ 6.45 ลีรา   ไม่ได้แลกเงินลีราจากเมืองไทย เพราะหาแลกยาก ต้องจองล่วงหน้า




จุดที่เราไปกันคือ The Blue Mosque , Walled Obelisk , German Fountain , Hagia Sophia Museum และ Topkapi Palace Museum

ออกจากโรงแรม เลี้ยวขวา เดินประมาณ 450 เมตร

จุดแรกจะพบ German Fountain  น้ำพุเยอรมัน (German Fountain) ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ ในวาระครบรอบครั้งที่ 2 ในการมาเยือนยังนครอีสตันบูล ของจักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี (Wilhelm II, German Emperor) เมื่อปี ค.ศ. 1898 โดยถูกสร้างขึ้นในประเทศเยอรมนี จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายชิ้นส่วน และนำมารวบรวม และสร้างตั้งไว้ที่ ฮิปโปโดรมแห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิล (Hippodrome of Constantinople) ในปี ค.ศ. 1900 และตั้งอยู่จนถึงปัจจุบัน

ศาลาแห่งนี้มีโครงสร้าง ทางสถาปัตยกรรม เป็นศาลาซุ้มหินอ่อนแกะสลัก รูปทรงแปดเหลี่ยม สไตล์นีโอไบเซนไทน์ ตั้งอยู่บนฐานยกสูง และมีบันไดแปดขั้น สำหรับก้าวขึ้นไปยังประตูทางเข้า บริเวณตรงกลางของศาลา มีอ่างน้ำพุตั้งอยู่บนพื้นกระเบื้องโมเสก สำหรับหลังคาเป็นโดมทองสัมฤทธิ์ และเพดานของโดม ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบสลับสีทองอย่างงดงาม



 ถัดมาด้านหลัง จะเป็น Walled Obelisk

Walled Obelisk หรือ คอนสแตนตินโอเบลิสค์ (Constantine Obelisk) หรือ Masonry Obelisk (Örme Dikilitaş หรือ Konstantin Dikilitaşı) ตั้งอยู่ด้านใต้ของ จัตุรัสสุลต่านอาห์เมต (Sultanahmet Square) ในนครอีสตันบูล, ประเทศตุรกี ไม่ทราบแน่ชัดว่าถูกสร้างขึ้นเมื่อใด แต่มีการตั้งชื่อและเป็นที่รู้จัก หลังจาการบูรณะซ่อมแซมในสมัยของ จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 7 (Constantine VII)

เสาโอเบลิสก์วอลล์ (Walled Obelisk) เป็นอนุสาวรีย์เสาหินก้อนเดียว สี่เหลี่ยม สอบปลาย ปลายบนปิดด้วยปิรามิดและที่ปลายเสามีโล่ทองสัมฤทธิ์ ซึ่งถูกทำลายและสูญหายไป ในระหว่างสงครามครูเสดครั้งที่ 4 (Fourth Crusade, ค.ศ. 1202 – ค.ศ. 1204)   มีความสูง 32 เมตร  ทำจากหินแกรนิตสีชมพู สลักในภาษา Hieroglyphic ถูกสร้างขึ้นเพื่อประกาศถึงชัยชนะของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ บาซิลที่ 1 (Basil I , ค.ศ. 867 ถึง ค.ศ. 886) หรือ มาซิโดเนียน (The Macedonian) ซึ่งเป็นปู่ของ จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 7 (Constantine VII)

นอกจากนี้เสาโอเบลิสก์วอลล์ (Walled Obelisk) เคยถูกใช้เป็นภาพด้านหลัง ของธนบัตรฉบับ 500 ลีร่าของประเทศตุรกี ในระหว่างปี ค.ศ. 1953 – ค.ศ. 1976 อีกด้วย









จากตรงจุดยืน ถ้าเราหันหน้าให้ Walled Obelisk และ หันหลังให้ German Fountain  ทางซ้ายมือจะเป็น The Blue Mosque

Blue Mosque หรือ Sultan Ahmet Mosque หรือ มัสยิดสีน้ำเงิน เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์และเป็นศูนย์รวมของชาวมุสลิมในตุรกีเลย อีกทั้งยังเป็นต้นแบบการสร้างมัสยิดในตุรกี และเป็นมัสยิดใหญ่ที่สุดในตุรกีอีกด้วย Blue Mosque เริ่มสร้างตั้งแต่ปีค.ศ. 1609 และสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1616 ในยุคสมัยของสุลต่านอาเหม็ดที่1 เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของ Ottoman และตั้งใจว่าจะต้องสร้างให้สวยและใหญ่กว่า Hagia Sophia ที่อยู่ใกล้ๆอีกด้วย

Blue Mosque มีหอเรียกสวด อยู่ 6 หอ เป็นหอคอยสูงให้ผุ้นำศาสนาขึ้นไปตะโกนร้องเรียกจากยอด เพื่อให้ผู้คนเข้ามสวดมนต์ตามเวลาในสุเหร่า  ชื่อสุเหร่าสีน้ำเงินภายในประดับด้วยกระเบื้องสีฟ้าจากอิซนิค ลวดลายเป็นดอกไม้ต่างๆ เช่นกุหลาบ ทิวลิป คาร์เนชั่น เป็นต้น ตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา ภายในมีที่ให้สุลต่านและนางในฮาเร็มทำละหมาดและสวดมนต์โดยเฉพาะ มีหน้าต่าง 260 บาน สนามด้านหน้าและด้านนอกจะเป็นที่ฝังศพของกษัตริย์และพระราชวงศ์และจะมีสิ่งก่อสร้างที่อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนทั่วไป เช่นโรงเรียนสอนโกหร่น ห้องสมุด โรงพยาบาล โรงอาบน้ำ ที่พักกองคาราวาน โรงครัวสาธารณะคุลีเรีย (Kulliye)






ที่นี่ เข้าชมฟรี แต่ต้องแต่งกายให้เรียบร้อย สุภาพสตรี ห้ามใส่ขาสั้น เสื้อสายเดี่ยว และ ต้องโพกผ้าคลุมผมให้มิดชิด


การตกแต่งภายในประดับด้วยกระเบื้องสีฟ้าจากอิซนิค ลวดลายเป็นดอกไม้ต่างๆ เช่นกุหลาบ ทิวลิป คาร์เนชั่น เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีหน้าต่างถึง 260 บานสลับกับการตกแต่งของกระจกสีอย่างสวยงาม เมื่อมีแสงส่องตกกระทบกับกระจกสี จะส่องแสงระยิบระยับสวยงาม จนทำให้ที่แห่งนี้มีมนต์สเน่ห์ที่น่าหลงใหล








ผู้คนมหาศาลล้านแปดแออัดอยู่ด้านใน


ออกจาก Blue Mosque  เดินลอดซุ้มประตู จะเจอ Hagia Sophia Museum ประชันอยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นแถวคนที่เข้าแถวเพื่อเข้าชมยาวเหยียดแล้วก็ต้องถอนใจ ขอถ่ายภาพด้านหน้าแทนละกัน










เราเดินเลี่ยงไปทางด้านขวา จะเจอ Topkapi Palace Museum จะจุดสำคัญที่จะเข้าไปชมคือ Topkapi Palace Harem




  

จะเข้าในพระราชวังต้องซื้อบัตรเข้าชม และจะเข้าฮาเรม ก็ต้องซื้อบัตรอีกครั้งนึง แต่ภายในสวยมากคุ้มค่าที่จะเสียเงิน

พระราชวังโทพคาปี หรือพระราชวังทอปกาเปอะ (Topkapı Sarayı) ในปัจจุบันคือ พิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ในนครอีสตันบูล, ประเทศตุรกี พิพิธภัณฑ์ซึ่งมีประวัติความเป็นมาเกือบ 600 ปี สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1459 ที่บริเวณ Seraglio (Sarayburnu) ซึ่งเป็นแหลมที่มองเห็นโกลเด้นฮอร์น (Golden Horn) อันเป็นจุดที่ช่องแคบบอสพอรัส (Bosphorus) มาบรรจบกับทะเลมาร์มารา (Marmara Sea) และให้ชื่อพระราชวังแห่งใหม่นี้ว่า พระราชวังวังนิวอิมพีเรียล (Imperial New Palace หรือ Yeni Saray หรือ Saray-ı Cedîd-i Âmire) และถูกใช้เป็นพระราชวังหลัก เพื่อการพำนักอาศัยของราชวงศ์ และสำนักงานบริหารของสุลต่านออตโตมัน ตลอดในช่วงศตวรรษที่ 15

ต่อมาในในศตวรรษที่ 19 พระราชวังวังนิวอิมพีเรียล (Imperial New Palace) ถูกตั้งชื่อใหม่ว่าทอปกาเปอะ (Topkapı) ซึ่งมีความหมายว่า ประตูปืนใหญ่ (Cannon Gate) และต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ขององค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 1985






ส่วนTopkapi Palace Harem คือ สถานที่ซึ่งสุลต่านและครอบครัวของพระองค์ประทับอยู่ ฮาเร็มเป็นเขตต้องห้ามที่ซึ่งพระมารดา เหล่าชายา นางระบำ และโอรสธิดาของสุลต่าน ใช้ชีวิตอยู่โดยตัดขาดจาดโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง

ฮาเร็มแห่งทอปกาปิ สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1550 สมัยสุลต่านสุไลมาน เพื่อเป็นที่พำนักของรอกเซลานา (Roxelana) ทาสสาวคนสวยคนเก่งชาวรัสเซียอันเป็นที่โปรดปรานของสุลต่านสุไลมาน ซึ่งรอกเซลานาได้ใช้ฮาเร็มเป็นฐานที่มั่นในการยึดครองราชบัลลังก์ จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระมเหสีคนโปรดของสุลต่านสุไลมานในเวลาต่อมา ภายในฮาเร็มมีห้องทั้งหมดกว่า 300 ห้อง มีห้องพักของพวกยูนุค โรงเรียนของมกุฎราชกุมาร ห้องบรรดาชายา แท่นบรรทมซึ่งฉลุลวดลายผ้าของพระมารดาของสุลต่าน ห้องอาหาร ห้องอาบน้ำหินอ่อนและห้องบรรทมของสุลต่า ห้องบัลลังก์อันโอ่อ่าของสุลต่านมูรัทที่ 3 ห้องสมุดของสุลต่านอาห์เหม็ดที่ 1 ห้องเสวยของสุลต่านอาห์เหม็ดที่ 3 ห้องที่พี่น้องของสุลต่านพักอาศัย และห้องต่างๆ อีกมากมาย




































จนบ่ายๆ จึงเดินกลับมายังที่พัก พักผ่อนกันสักนิด เพราะตอนเย็นเรามีโปรแกรมขึ้นไปถ่ายภาพวิวมุมสูง และรับประทานอาหารเย็นสุดหรูกันที่ Hotel Arcadia Blue พร้อมชมวิวพระอาทิตย์ตกบนดาดฟ้าของโรงแรม และต้องจองกันล่วงหน้าเพราะส่วนใหญ่โต๊ะจะเต็มตลอด

















พรุ่งนี้เราจะเดินทางไป ชมเมืองโบราณ Ephesus  ติดตามชมได้ที่นี่
https://somersetmghm.blogspot.com/2020/01/turkey-2019-ephesus.html



No comments:

Post a Comment

ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......