19-26 April 2025
ทริปนี้เป็นทริปต่อเนื่องจากทริป จอร์เจีย 12-18 เมย. 2567 ไหนๆค่าตั๋วเครื่องบินก็แสนแพง ก็ควรใช้ให้คุ้ม เลยตกลงกันว่า เพิ่มวันและเลยไปเที่ยวในตรุกีด้วยซะเลย แต่มีพวกเราบางส่วนจำเป็นต้องกลับมาทำงานต่อ จึงเหลือกันเพียง 4 คน เที่ยวต่อในตรุกี
เราออกจาก ทบิลิซี่ จอร์เจีย ก็เย็นแล้ว เครื่องบินมาลงที่ อีสตันบูล น่าจะราวๆทุ่มกว่าๆ พวกเรา 7 คน ใช้บริการรถตู้ที่ให้ทางโรงแรม มารับที่สนามบิน กว่าจะเดินทางถึงโรงแรมก็เกือบ 3 ทุ่ม แล้ว ที่พักเราเลือกพักแถวๆ Taxim เลือกเอาใกล้ๆสถานีรถไฟฟ้า เพื่อสะดวกในการเดินทาง
เช้าแรกที่ อีสตันบูล หลังทานอาหารในโรงแรมแล้ว นัดเจอกันหน้า จตุรัสทักซิม เราแยกกันพัก 2 โรงแรม ตามความชอบของแต่ละคน แต่ก็อยู่ใกล้ๆกัน
โปรแกรมวันนี้ เราคงตระเวณกันอยู่แถว ย่านสุลต่านฮาเม็ด เพื่อเก็บภาพที่ Obelisk of Theodosius , The Blue Mosque , Hagia Sophia Grand Mosque , Basilica Cistern , Topkapi Palace ซึ่งตั้งอยู่ติดๆกัน เดินถึงกันได้ทั้งหมด
เรานั่งรถไฟใต้ดิน สายพิเศษที่มีแค่สถานีเดียว จาก สถานีTaxim ไปยัง สถานีKabataş และต่อรถรางบนดิน จาก Kabataş มาลงที่ จตุรัสสุลต่านฮาเม็ด วันนี้เป็นวันหยุด คนเยอะมากเป็นพิเศษ มากจนเราต้องตัดบางจุดออกไป เพราะคิวซื้อตั๋ว และคิวการเข้าสถานที่ยาวมากกกกก อีกทั้งราคาค่าเข้าชมสถานที่แต่ละจุด แพงมาก แพงสมกับดีกรีเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับ1 เลยทีเดียว อย่างเช่น Basilica Cistern ราคาค่าเข้าชมตกคนละพันกว่าบาท ขนาดค่าเข้าแพงอย่างนี้ คิวซื้อตั๋วยังยาวทบไปทบมา จนขี้เกียจรอคิว ตัดทิ้งกันไป
จุดแรกที่เดินมาชมคือ Obelisk of Theodosius อนุสาวรีย์เสาหิน ซึ่งมีอายุกว่า 3,500 ปี โดยนำมาจาก มหาวิหารคาร์นัก (Karnak Temple Complex) นำมาไว้ที่ฮิปโปโดรมแห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิล (Hippodrome of Constantinople) และยังคงตั้งตระหง่านอยู่จวบจนถึงปัจจุบัน เสาโอเบลิสก์ของธีโอโดซีอุส (Obelisk of Theodosius) สร้างจากหินแกรนิตสีแดง จากเมืองอัสวาน (Aswan) แต่เดิมมีความสูง 30 เมตร และสูงเท่ากับเสาโอเบลิสก์ลาเทรัน (Lateran Obelisk) ซึ่งเป็นเสาโอเบลิสก์อียิปต์โบราณ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันอยู่ในประเทศอิตาลี
จุดต่อมา อยู่ติดๆกันคือ The Blue Mosque “มัสยิดสีน้ำเงิน” (Blue Mosque) หรือที่รู้จักในชื่อ "มัสยิดสุลต่านอาห์เหม็ด" มัสยิดแห่งนี้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของอิสตันบูลและเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่สวยงามที่สุดในโลก
มัสยิดสีน้ำเงินสร้างขึ้นในสมัยสุลต่านอาห์เหม็ดที่ 1 (Sultan Ahmed I) โดยมีจุดมุ่งหมายให้เป็นศูนย์กลางของศาสนาและการปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของมัสยิดนี้คือการผสมผสานระหว่างศิลปะออตโตมันและศิลปะแบบไบแซนไทน์ ชื่อ "มัสยิดสีน้ำเงิน" มาจากกระเบื้องอิซนิคสีน้ำเงินและสีฟ้าที่ประดับอยู่ภายในมัสยิดกว่า 20,000 ชิ้น จนเกิดเป็นลวดลายต่างๆ ที่อ่อนช้อยงดงาม
ค่าเข้าชม ฟรี ไม่เสียเงิน คิวเข้าชมก็เลยยาวมาก แต่คิวเดินไว เพราะเดินเข้ามาภายในก็มีแค่ชมโดมภายในที่สวยงาม ชมกันสักพัก ก็ไหลออกมาด้านข้าง
ไหลออกมาด้านนอก จากทางออก เดินตัดข้าม จตุรัสสุลต่านฮาเม็ดSultan Ahmet Park มา จะเจอ Hagia Sophia Grand Mosque คิวซื้อตั๋วยาวมาก คิวต่อแถวเข้าชมก็ยาวไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน เลยถอยกันออกมาว่า เข้า Topkapi Palace ดีไม๊
แต่ตอนนี้เกือบเที่ยงแล้วไปหาของกินกันดีกว่า เราเดินออกมาทางด้านหลัง มัสยิดสีน้ำเงิน เป็นเหมือนตลาดนัด แต่ขายเฉพาะของที่ระลึก เดินดูกันไป ซื้อของกันไป พร้อมมองหาร้านอาหารไปด้วย ก็ยังไม่ค่อยถูกใจ ก็เลยเดินออกมาด้านนอก ตรงจุดที่ลงรถราง แถวนั้นร้านอาหารเยอะแยะมากมาย แต่ราคาโหดนัก เทียบกันตรงจุดอื่นๆในอีสตันบูลที่ว่าแพงแล้ว ที่นี่แพงกว่า 3 เท่า ไม่ลองไม่รู้ ลองแล้วก็ถือว่าเสียค่าโง่กันไป
อิ่มไม๊ ก็ไม่ค่อยอิ่มนัก อาหารไม่อร่อยเหมือนบ้านเรา แพงเวอร์มากอีกต่างหาก เสียดายของเหลือ แต่ก็กินกันไม่ลง ออกมาจากร้าน ปรึกษากันว่าจะไปไหนต่อกันดี อากาศเริ่มร้อนเพราะวันนี้แดดจัด นักท่องเที่ยวก็เริ่มหนาแน่นมาก คิวเข้าสถานที่แต่ละที่ก็ยาวเหยียด ท้อใจนัก สาวๆเลยขอไปเดินช้อปปิ้งที่ ตลาด Grandbazaarlife ที่ว่ากันว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก เดินเลาะๆกันริมๆด้านนอก ไม่ได้เข้าไปลึกด้านใน เพราะเห็นสินค้าก็เหมือนๆกัน เป็นของก๊อปสินค้าแบรนด์เนมทั้งนั้น วางขายกันอย่างเปิดเผยไม่เห็นมีใครมาจับเลย ผิดกับบ้านเรา วางขายกันอย่างนี้โดยจับแน่
เดินชมตลาดจนทะลุมาถึงตลาด Spice market ได้ของติดมือกันคนละอย่างสองอย่าง แฮปปี้กันทั่วหน้า วันนี้เดินไปเดินมา ปาเข้าไป 2 หมื่นก้าว ไหนๆก็เดินกันมาจนขนาดนี้แล้ว ก็เดินกันต่อไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี Halıç ซึ่งตั้งอยู่กลางสะพานข้ามช่องแคบยิบรอลต้า ชมวิวยามเย็นของช่องแคบที่สวยงาม
ที่จอร์เจีย เราจะพบว่า คนจอร์เจีย นิยมเลี้ยงสุนัขตัวโตๆ หน้าตาเป็นมิตร ไม่ดุ แต่ที่ตรุกี กลับนิยมเลี้ยงแมว เดินไปตรงไหนจะพบแมว แมวที่นี่ไม่ว่าจะเป็นแมวข้างถนน หรือ คนเลี้ยง จะได้รับการดูแลอย่างดี อาหารก็มีคนใจดีเอามาเลี้ยงดู จนอ้วนท้วน
วันที่2 ในอีสตันบูล เย็นนี้พวกเราจะแยกย้ายกันเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 3 คน ยังพักต่ออีกคืนเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพวันรุ่งขึ้น และกลุ่มของเรา 4 คน จะเดินทางต่อไป คัปปโดเซีย แต่เรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันจนถึงเย็นค่อยแยกย้าย
วันนี้จากที่พัก เรานั่งรถรางท่องเที่ยวแบบโบราณที่มีโบกี้เดียว วิ่งรับส่งในย่านทักซิมสแควร์แห่งนี้ จากจตุรัสทักซิม ไปสิ้นสุดใกล้ๆกับ หอคอย กลาต้า ซึ่งสมกับเป็นรถรางโบราณ นอกจากหน้าตาดูโบราณแล้ว สภาพเครื่องยนต์ก็โบราณด้วย เรานั่งกันไปรถหยุดซ่อมกันไปตลอดทาง ท่ามกลางการลุ้นของเหล่าผู้โดยสาร บางคนทนไม่ไหวก็ลงเดิน พวกเราชิวๆก็นั่งชมวิวข้างทางรอกันไป
สุดสายปลายทาง ก็เดินดูร้านค้าริมทาง ช้อปปิ้งกันอีกเล็กน้อย ก็บรรลุถึง หอคอยกลาต้า
หอคอย Galata ถือเป็นหนึ่งในหอคอยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของอิสตันบูล ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกชั่วคราวโดย UNESCO มีความสูงประมาณ 66.9 เมตร เพื่อไว้เป็นหอสังเกตการณ์ป้องกันข้าศึกจากทางทะเล ปัจจุบันบริเวณชั้นบนของ Galata Tower มีร้านอาหาร และคาเฟ่ ซึ่งสามารถมองเห็น วิวทิวทัศน์ของบอสพอรัส (Bosphorus), ถนนใกล้เคียงในเขตกาลาตา-คาราค็อย (Galata – Karaköy) อันเก่าแก่ ภายในย่าน Beyoğlu (Pera) และบริเวณโดยรอบของนครอีสตันบูล
จากหอคอยกลาต้า เดินมาอีกไม่ไกลนัก ก็จะถึงย่านสะพานกลาต้า ซึ่งเป็นสะพานที่ข้ามช่องแคบยิบรอลต้า ส่วนที่เรียกว่า Gloden Horn ใต้สะพานจะมีร้านอาหารให้เลือกมากมาย ริมน้ำจะเป็นท่าเรือเฟอรี่ ที่วิ่งรับส่งตามท่าต่างๆ ทั้งฝั่งตรุกีเอเชีย และ ตุรกียุโรป ค่าข้ามเรือถูกมาก ราคาเดียวกับรถประจำทาง หรือ รถไฟฟ้า
พวกเราลองใช้บริการดู ตั้งใจว่าจะข้ามฝากไปอีกด้าน ซึ่งเป็นตลาด Spice market ดูป้ายกันดีแล้วนะ แต่พอขึ้นเรือกลายเป็นพาไปขึ้นท่าฝั่งเอเชีย ก็ดีไปได้นั่งชมวิว ชมประภาคารกลางช่องแคบ เพลิดเพลินกันไปเลย
เนื่องจากฝั่งด้านเอเชีย ไม่ค่อยมีจุดท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นย่านอยู่อาศัย และธุรกิจ แต่ก็คึกคักไม่แพ้ฝั่งยุโรป พวกเราแวะทานอาหารกลางวันกัน เดินเที่ยวเล่นกันสักพัก ก็กลับ ขากลับ กลุ่มที่อยู่ต่อเพื่อบินกลับกรุงเทพ ขอแยกไปเดินเล่นเพื่อซื้อของที่ตลาด Spice market แต่พวกเราอีก 4 คน ต้องกลับมาเอากระเป๋าและเดินทางไปรอขึ้นรถบัสเพื่อไป คัปปโดเซีย เย็นนี้
กลุ่มแรกขึ้นเรือเพื่อไปขึ้นท่าเรือ Eminönü และกลุ่มเราจะไปขึ้นท่าเรือ Kabataş เพื่อกลับมา ทักซิมสแควร์
พวกเราฝากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไว้ที่โรงแรม และแบ่งเสื้อผ้าใส่เป้ใบเล็กสำหรับการค้างคืน 1 คืนที่คัปปโดเซีย จากนั้น ก็นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน ไปลงที่สถานี Otogar ซึ่งเป็นชุมทางรถบัส และ สถานีรถไฟ เราเลือกรถบัสวิ่งกลางคืน ออกจากอีสตันบูลประมาณ 1 ทุ่ม และจะถึง เกอเรอเม่ ตอนแปดโมงเช้า
พรุ่งนี้เมื่อเดินทางถึง คัปปโดเซีย ก็จะหาทัวร์ท้องถิ่น เพื่อเที่ยวต่อไป ติดตามได้ที่
กลับจาก คัปปโดเซียแล้ว เรายังเที่ยวต่อใน อีสตันบูล อีก 2 คืน จึงค่อยกลับ กรุงเทพฯ
ขากลับ รถบัสมาส่งที่ ท่ารถ Alibeyköy Bus Station จากตรงนี้สามารถต่อรถราง มาลงที่ Haliç Metro เพื่อเปลียนขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีกลางสะพาน สถานีHalıç
ที่อีสตันบูล เรายังคงเลือกพักที่ ย่าน ทักซิมสแควร์ เพื่อสะดวกในการฝากกระเป๋าเดินทาง และ ขึ้นรถบัสขากลับไปสนามบิน เราเปลี่ยนไปพักโรงแรมอีกแห่ง ใกล้ๆที่เดิม หลังจากเช็คอินเข้าที่พัก ก็ได้ห้องพักเลย พักกันสักครู่ ก็ออกมา เป้าหมายคือตลาด spice market ก่อนเข้าตลาด แวะที่ Suleymaniye Mosque
ที่นี่คนไม่เยอะ เดินเที่ยวสบาย ข้างในสวยไม่แพ้ The Bule Mosque เลย ฉะนั้นถ้าใครขี้เกียจเข้าคิวนาน ขอแนะนำให้มาที่นี่ได้เลย
สุเหร่าสสุเลย์มานิเย (The Mosque of Suleiman หรือ Süleymaniye Mosque) มัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นบรรณาการให้กับสุลต่านสุเลย์มาน โดมของมัสยิดสุเลย์มานมีขนาดสูงถึง 47 เมตร ภายด้านในตกแต่งอย่างหรูหราอลังการ ด้วยกระเบื้องโมเสคเน้นสีทองเป็นหลัก ประดับอย่างปราณีตลงบนโครงสร้างหินอ่อนสีขาวนวล กลางโถงมัสยิดมีฐานห้อยโคมไฟวงกลมขนาดใหญ่ พร้อมกับดวงไฟที่ถูกแขวนไว้เรียงราย
ลานด้านนอก สามารถชมวิวเมือง ช่องแคมยิบรอลต้าได้กว้างไกล
ออกจากที่นี่ ก็เดินไปตลาด Spice market ช้อปปิ้ง และแวะทานอาหารร้าน เคบับ บาบิคิว ที่เราซื้อวันก่อนและยังติดใจ
วันรุ่งขึ้น ตกลงกันจะไปซ้ำที่ย่านสุลต่านฮาเม็ด เผื่อจะเข้าที่ไหนได้บ้าง Hagia Sophia Grand Mosque คนยังล้นหลามเช่นเดิม Topkapi Palace คิวซื้อตั๋วยังยาวเหยียด เมี่ยงๆมองๆ จนกะว่าจะเดินออกตรงทางออกอีกด้าน ผ่านริมทางเป็นสวนที่ปลูกทิวลิปไว้ตลอดแนว ว้าว..เลย เหมือนเจอขุมทรัพย์ รีบสิจะรออะไร
จากเซ็งๆ ไม่รู้จะไปไหน เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ สดชื่นทันควัน
ช่วงบ่าย เลยมีแรงมาเดินต่อที่ Coloured Houses of Balat บ้านหลากสี ย่าน Balat Old Houses ในอิสตันบูล สถาปัตยกรรมเก่าแก่ ตั้งอยู่ในเขต Balat ของอิสตันบูล บ้านเรือนในย่านนี้มีสีสันสดใสหลากหลายสี ไม่ว่าจะเป็นสีชมพู สีฟ้า สีเหลือง หรือสีเขียว แต่ละหลังจะมีเอกลักษณ์ของตัวเองที่ไม่ซ้ำกัน
เดินทางโดยรถราง มาลงที่สถานี Balat แล้วข้ามถนนเดินเข้าซอยมา ไม่ต้องกลัวหลง เดินตามเหล่านักท่องเที่ยวเข้ามาก็ถึงเอง 2 ข้างทางจะมีร้านค้าและเกสเฮาส์มากมาย หิวก็หาแฮมเบอร์เกอร์ เคบับ ได้ ราคาไม่แรง ทางขึ้นเนินตลอดค่อนข้างเหนื่อยหน่อย
เดินกันพอหอบๆ ก็ถึงแล้ว
และแล้ว ทริป จอร์เจีย ควบ ตรุกี รวม 15 วัน ก็ถึงเวลาสิ้นสุด ด้วยความอิ่มเอม และเหนื่อยหอบ อากาศที่ จอร์เจีย และ ตุรกี ดีมาก ไม่หนาวจัด และไม่ร้อน แต่แดดแรง กลับมา หน้าดำ ตัวดำ ต้องบำรุงกันขนานใหญ่
ขอบคุณทุกๆท่าน ที่ผ่านเข้ามาและแวะอ่าน แวะชมภาพ นะคะ
No comments:
Post a Comment
ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......