November 2016
Koyasanเป็นภูเขาสูงเหนือระดับน้ำทะเลเกือบพันเมตร ตั้งอยู่ในจังหวัดWakayamaแต่สามารถเดินทางได้ง่ายๆจากสถานีNambaย่านใจกลางเมืองOsakaด้วยรถไฟสายNankai ใช้เวลาประมาณ90นาที มีPass2วันขายในราคาประหยัดสำหรับKoyasanโดยเฉพาะ แถมค่าเดินทางไปที่นี่ยังรวมอยู่ในKansai Thru Pass อีกด้วย ถึงจะต้องเดินทางด้วยรถไฟ ต่อรถราง ขึ้นรถบัส ก็ไม่ต้องกลัวหลงเพราะเป็นเส้นทางที่ง่ายมาก แค่ขึ้นรถไฟที่ต้นทางแล้วลงสุดสายก็ถึงแล้ว เรียกได้ว่าการเดินทางค่อนข้างสะดวกเลยทีเดียว UNESCO ได้บันทึกไว้ให้เป็นแหล่ง World Heritage Sites ที่สำคัญของญี่ปุ่น ก็เพราะความเก่าแก่กว่า 1,200 ปี ทรงคุณค่าคู่ควรต่อการอนุรักษ์
ในเมืองโคยะซัง มีวัดพุทธจำนวน 52 แห่ง ที่เปิดเป็น “ที่พัก” (temple lodge) ให้ฆราวาสจากทุกศาสนามาสัมผัสประสบการณ์รื่นรมย์ในความเรียบง่าย ห้องพักในแบบเรียวกัง ปูฟูก ฟุตงนอนพื้นบนเสื่อทาทามิประตูกระดาษสาบานเลื่อน
ด้วยความที่พวกเราพักใกล้ๆสถานี Shin Imamiya จึงเดินมาดักขึ้นรถไฟสาย Nankai-Koya Line ตั้งใจว่าจะขึ้นรถไฟใฟ้ทันเวลา 7.02 น. แต่เรามัวแต่เดินงงในสถานี ทำให้ขึ้นรถไฟไม่ทัน อีกทั้งเป็นเวลาเร่งด่วน คนเดินทางไปทำงานเยอะทีเดียว โอ้เอ้ไปมาในที่สุดก็ได้ขึ้นรถด่วนแทน เมื่อเวลา 8.02 น. รถด่วนใช้เวลาเดินทาง 42 นาที และต้องเปลี่ยนรถที่สถานี Hashimoto Station เป็นสาย Nankai-Koya Line เดินทางต่ออีก 48 นาที จึงมาถึงสถานีปลายทาง Gokurakubashi Station แต่เรายังไม่ถึง โคยาซัน ต้องขึ้นรถกระเช้าไฟฟ้าอีก 5 นาที จึงจะสิ้นสุดเส้นทางรถไฟที่ Koyasan Station รวมเวลาเดินทางทั้งหมด 2 ชม. ค่าเดินทาง 2,030 เยน แต่เราเดินทางเหมาด้วยบัตร Kansai Thru Pass 5 วัน จึงไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินเพิ่มแต่อย่างใด แค่โชว์บัตรก็ผ่านตลอด
แต่ก็ยังไปไหนไม่ได้ เพราะบนเขาโคยาซัน มีวัดเก่าแก่และสุสานโบราณให้เที่ยวชมมากมายระยะการเดินทางกว่า 8 กม. ควรถนอมกำลังขาด้วยการขึ้นเมลล์ท้องถิ่น และเช่นเคยเราใช้บัตร KTP ก็ขึ้นลงได้ตามใจตลอดเส้นทาง
พวกเราตกลงใจไปจุดไฮไลท์สำคัญที่สุดและไกลที่สุดก่อน คือ สุสานOkunoin จากสุสานเราจะลงเดินทะลุสุสานไปยังวัดศักดิ์สิทธ์ Kobo Daishi Mausoleum 弘法大師 ระยะทางกว่า 2.5 กม.
สุสานโบราณโอคุโนอิน(Okunoin)เป็นที่ตั้งของสุสานของท่านโคโบ-ไดชิ (หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า คูไค-Kukai ) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธนิกายชินกอน และเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีผู้นับถือมากที่สุดในประวัติศาตร์ของญี่ปุ่น วัดแห่งนี้มีผู้เดินทางมาแสวงบุญจำนวนมากและเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
ตรงทางเข้าวัดโอคุโนอิน มีสะพานที่มีชื่อเสียง ชื่อสะพานอิชิโนฮาชิ (Ichinohashi Bridge) เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของวัดแห่งนี้ ก่อนที่จะข้ามสะพานนั้น ควรจะโค้งคำนับก่อนเพื่อแสดงความเคารพแก่ท่านโคโบ-ไดชิ ตามทางเดินไปสู่วัดจะมีหลุมฝั่งศพกว่า 2 แสนหลุมตั้งเรียงรายกันอยู่ โดยส่วนมากจะเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงและขุนนางต่างๆ
ด้านในวัดนั้นจะมีภาพวาดจิโซะ (Jizo) ภาพพระโพธิสัตว์ที่ดูแลคุ้มครองเด็กและนักเดินทาง ผู้เข้าชมสามารถที่จะอธิษฐานขอพรให้กับสมาชิกในครอบครัวที่ล่วงลับไปแล้วได้จาก Mizumuke Jizo อีกด้วย
เดินตามทางเดินในสุสานมาประมาณสัก 2 กิโล ก็จะพบศาลเจ้า Eireiden ช่วงเดือน พย. นี้ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีเป็นสีแดงและส้มอย่างสวยงาม
ศาลเจ้า Eireiden สร้างขึ้นเป็นศาลาที่สถิตย์ของวีรบุรุษที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
แต่ที่เราเห็น นอกจากสุสานวีรบุรุษสงครามแล้ว ก็ยังมีสุสานประจำตระกูลดังๆในญี่ปุ่น วางเรียงรายเป็นกลุ่มแต่ละตระกูล เหมือนฮวงซุ้ยของจีนเลย แต่สะอาดและดูร่มเย็น (แต่ถ้าพระอาทิตย์ตกดินแล้ว คงมีความน่ากลัวเข้าแทนที่)
จาก ศาลเจ้า Eireiden เดินต่อขึ้นไปอีกนิดจะเจอ Shotokuden Tea Hall เป็นอาคารไม้ ด้านในเป็นโถงโล่งมีที่นั่งเรียงรายคล้ายที่นั่งในโบสถ์คริสต์ เราเดินตามคนญี่ปุ่นไปด้านหลังอาคาร พบว่าเป็นจุดที่ตั้งของหม้อต้มชาเขียว ทุกคนจะช่วยตัวเองด้วยการนำถ้วยชามารินน้ำชาจากหม้อต้มใบใหญ่ และถือเข้าประตูด้านหลังมานั่งพักขาดื่มชา คนญี่ปุ่นเค้าเคารพในความเป็นส่วนตัวกันเองดี นั่งกันเงียบเชียว
พวกเรานั่งพักขา ดื่มชากันสักพัก ก็ออกเดินต่อ ไปยังสะพาน Gobyobashi bridge
พิธีกรรมก่อนข้ามสะพานไปสักการะสุสานโคโบไดฉิ ยังมีจุดที่มีรูปปั้นจิโซ หรือ พระโพธิสัตว์พิทักษ์เด็กปางต่างๆ เรียกว่า มิซูมุเคะ จิโซ (MizumukeJizo) ตั้งเรียงรายให้ผู้ศรัทธา สรงน้ำ ถือเป็นการกรวดน้ำเพื่ออนุโมทนาบุญให้กับบรรพบุรุษของแต่ละคน
จุดที่ข้ามจากสะพาน อิชิโนะฮาฉิ ไปถึง สุสานโคโบไดฉิ ถือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงห้ามถ่ายรูป ให้เก็บความประทับใจไว้ด้วยสองตาเท่านั้น
สุดสะพานในสุดจะเป็นที่ตั้งของวัด Kobo Daishi Mausoleum 弘法大師 ด้านในอาคารไม้ เป็นที่ตั้งพระพทุทธรูปศักดิ์สิทธ์ และมีพระสงฆ์ทำพิธีสวดอยู่ภายใน ทุกคนที่เข้ามาต้องสำรวม เงียบ ไม่สงเสียงใดๆ
สมควรแก่เวลา และท้องร้องจ๊อกๆกันแล้ว ก็เดินกลับออกมาจนถึง ศาลเจ้าEireiden ก็มีทางตัดออกมาทางลานจอดรถและจุดจอดรถเมลล์ เราแวะทานอาหารเช้าควบกลางวันกันตอนบ่ายโมงกว่าๆ
หลังจากอิ่มหนำสำราญดีแล้ว คราวนี้ขึ้นรถเมลล์ย้อนกลับมายังสถานี Koyasan ระหว่างทางเราก็สอดสายตาดูหาจุดแวะข้างทางซะหน่อย
จนสมควรแก่เวลา จึงเดินทางกลับ มาลงสุดสายที่ Namba และต่อรถใต้ดินไปยังสถานี Osaka เพื่อเตรียมเดินทางโดยรถบัสกลางคืน Night bus Willer ไปยังเมือง Nagoya รถบัสจะออกตอนเที่ยงคืน และ ถึงนาโกย่า ตอนตีห้า
ติดตามชม นาโกย่า เมืองสุดท้ายวันสุดท้าย ก่อนกลับไทย ได้ตอนต่อไป.
ปล. แถมท้าย ด้วยความที่ระหว่างการเดินทาง เพื่อนร่วมคณะทำกระเป๋าสตางค์หาย ด้านในมีเงินเยนและตั๋ว Kansai Thru Pass มาพบว่าหายตอนเดินทางถึงถานีโอซาก้า และตรวจกระเป๋าเพื่อจะหยิบบัตร KTP มาใช้งาน
เราจึงมาแจ้งความของหายที่ห้อง Lost&Found เพราะเห็นในพันทิป การันตีว่าของหายที่ญี่ปุ่น จะได้รับของคืนแน่นอน เพื่อนเราเค้ายืนยันว่าหายบนรถไฟตอนลุกขึ้นหยิบกระเป๋าจะลงรถที่สถานีนี้แน่นอน เพราะตอนขึ้นยังหยิบกระเป๋ามาดูอยู่
แต่ญี่ปุ่นยามนี้ นักท่องเที่ยวเยอะ เศรษฐกิจแย่ คนอาจปรับนิสัยใจคอใหม่ไม่เหมือนเดิน ผ่านไป 2 วัน เรากลับมาถามความคืบหน้า ก็ได้รับคำตอบว่าไม่พบ จบข่าว....
No comments:
Post a Comment
ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......