Sunday, 16 April 2017

Japan in Memories : Hokkaido in winter (2)

Sapporo-Otaru-Noboribetsu ( Mar 2017)

ติดตามตอนแรกได้ที่นี่
http://somersetmghm.blogspot.com/2017/04/japan-in-memories-hokkaido-in-winter.html




วันที่ 3  : Noboribetsu

วันนี้เราจะนั่งรถบัสออกนอกเมืองซัปโปโร ไปหุบเขานรกกัน  ตอนแรกตั้งใจจะนั่งรถไฟ แต่หลังจากศึกษาราคาแล้ว รถไฟ ราคา 2,680 เยน ส่วนรถบัส 1,850 เยน   ราคาแพงกว่ารถบัสเกือบเท่าตัว  ใช้เวลาเดินทางพอๆกันคือ 1.46 ชม. เราจึงเลือกเดินทางโดยรถบัส ท่ารถบัสอยู่ใกล้กับ Sapporo TV Tower แค่ 1 แยก



   

ออกจากโรงแรม เรียกแท๊กซี่ให้ไปส่งที่ท่ารถ Hokkaidō Chūō Bus Charter Bus Office ซื้อตั๋วรถบัสไปลงที่ Noboribetsu Station ราคา 1,850 เยน เราไปถึงก่อนเวลาครึ่ง ชม. นั่งรอสักพักรถเข้าเทียบที่ท่าหมายเลข 5
รถค่อนข้างว่าง จึงเลือกที่นั่งได้ตามสบาย มีห้องน้ำท้ายรถด้วยสะดวกมาก





นั่งรถบัสก็ดีอย่าง เพราะรถจะวิ่งผ่านในตัวเมือง ทำให้เราได้เห็นสภาพบ้านเมืองไปด้วย และไฟแดงเยอะมากติดเกือบทุกแยก แต่พอออกนอกเมือง รถก็เข้าทางด่วนวิ่งรวดเดียวเลย ใช้เวลาเดินทาง 1.37 ชม. นับป้ายรถจอด 7 ป้าย  






รถมาจอดที่สี่แยกใกล้ๆกับสถานีรถไฟ Noboribetsu  เราต้องเดินไปขึ้นรถเมลล์ท้องถิ่นที่หน้าสถานีรถไฟห่างไป 400 เมตร ที่สถานีมีรูปสต๊าฟหมี สัญญลักษณ์ศูนย์อนุรักษ์หมีของเมืองนี้ และรูปปั้นยักษ์แดงสัญลักณ์ของหุบเขานรก

 
 


วันนี้อากาศหนาวเย็นกว่าเมือวาน เราเดินทางถึงหุบเขานรกก็เจอ หิมะตก  โอ้..... หิมะตก มาครั้งนี้ได้เจอหิมะตกด้วย แต่เราก็ย่ามใจไปนิด คิดว่าคงหนาวไม่มากเหมือนเมื่อวานจึงไม่ได้เอาโอเวอร์โค๊ตมาด้วย แต่ก็ยังไม่ถึงกับหนาวจัดจนทนไม่ได้ แค่รู้สึกว่าอากาศเย็นกว่าวันก่อนเท่านั้น  รถมาจอดสุดสายให้ลงที่ป้าย Noboribetsu onsen  

หุบเขาจิโกคุดาหนิ (Jigokudani) หรือเรียกอีกอย่างว่า “หุบเขานรก” อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Shikotsu-Toya เมือง Noboribetsu ที่เรียกว่าหุบเขานรกนั้นเพราะที่นี่มีทั้งบ่อโคลนและบ่อน้ำร้อนที่เดือดตามธรรมชาติกระจายไปทั่วบริเวณเสมือนนรกที่มีกระทะทองแดงที่มีควันร้อนๆอยู่ตลอดเวลา และถือเป็นแหล่งกำเนิดน้ำแร่และออนเซนที่มีชื่อเสียงที่สุดบนเกาะฮอกไกโด






ทางเข้าหุบเขาจะมีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นยักษ์สีแดงตัวใหญ่ถือตะบองคอยต้อนรับ หน้าตาอาจจะดูหน้ากลัวไปหน่อย แต่นี่เป็นยักษ์ดีที่จะคอยคุ้มกันภัยให้ผู้มาเยือน ดังนั้นทุกบริเวณพื้นที่ของที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายของที่ระลึก ห้องน้ำจะมีป้ายต่างๆที่มีสัญลักษณ์รูปยักษ์ให้เห็นโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์

ระหว่างการเดินทางเข้าไปจะมีเส้นทางเดินชมธรรมชาติให้เดินเที่ยวชมได้ บริเวณนี้จะมีโรงแรมตั้งอยู่จำนวนมากเพราะใกล้กับแหล่งบ่อน้ำแร่จากธรรมชาติ ทำให้โรงแรมมีออนเซนให้บริการนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี เมื่อเดินใกล้เข้าไปบริเวณหุบเขาจะมีไอกำมะถันพวยพุงออกมาตลอดเวลา บางบริเวณก็จะมีบ่อโคลนเดือดซึ่งเกิดจากความร้อนใต้พิภพผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย แนะนำว่าถ้าใครเป็นภูมิแพ้หรือกลัวว่าจะเหม็นกลิ่นกำมะถัน (จริงๆกลิ่นก็ไม่รุนแรงเท่าไหร่นัก) ควรจะพกหน้ากากอนามัยหรือผ้าเช็ดหน้ามาปิดจมูกด้วย












เดินมาได้หน่อยเดียว หิมะเริ่มตกปรอยๆลงมา ไม่รู้ว่าเพราะมาเช้าเกินไป หรือ อากาศหนาวเกินไป ถนนดูร้างไม่มีคนเดินเลย มีแต่พวกบ้ากลุ่มนี้ ตื่นเต้นกับหิมะตก แต่เดินไปหิมะเริ่มตกหนาแน่นและลมแรงชักหนาว เลยหลบเข้าร้านกาแฟข้างทางซะหน่อยกินไอติมประชดซะเลย นอกจากกาแฟ ไอติมแล้ว ก็มีไข่ต้มที่ว่ากันว่าต้มในน้ำร้อนจากใต้ดินที่อุดมด้วยแร่ธาตุ แต่เราก็ไม่ได้ซื้อมาลองกิน





 ตรงหน้าร้านมีทางแยกขึ้นไปศูนย์อนุรักษ์หมี ไม่รู้ว่าหิมะตกเยอะไปหรือรถกระเช้าเสีย ชาวคณะขึ้เกียจปืนบันไดขึ้นไป เลยอดดูหมี แต่ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เราจะไปดูหมีที่สวนสัตว์ มะรุยาม่าในซัปโปโร แทน





และเราก็เดินถึง หุบเขานรก กันแล้ว ปากทางจะมีบ่อน้ำร้อน Noboribetsu Hot Spring บนลานหิมะ และไอควันจากบ่อน้ำร้อนข้างๆที่พวยพุ่งขึ้นมา เลี้ยวขวาก็ถึงทางเข้าหุบเขานรก







 และเราก็ได้เห็นความงดงามของหุบเขานรก ซะที แค่ปากทางยังสวยขนาดนี้ ข้างในคงจะสวยมากกว่านี้ แต่เราไม่ได้เดินเข้าไปด้านใน เพราะหิมะตกหนักขึ้นทุกที และอากาศก็เริ่มหนาวมากขึ้น เลยอยู่แค่ปากทาง ถ่ายรูปเก็บภาพกันพักใหญ่ๆ ก่อนเดินกลับมาทางเดิม แวะดูร้านค้าข้างทางมาเรื่อยๆ



 



 หิวกันแล้ว ก็หาร้านตรงปากทางนี่แหละ อาหารพอใช้ได้แต่ราคาแพงไปหน่อย และการบริการก็ไม่ค่อยน่ารัก





 เดินดูร้านค้าข้างทางไปจนถึงท่ารถที่เราลงตอนขามา เพื่อรอรถกลับมายัง สถานีรถไฟ Noboribetsu




กลับมารอรถบัสตรงสี่แยกฝั่งตรงข้ามกับป้ายที่เราลงรถ แวะซื้อสตรอเบอรี่สดๆลูกใหญ่มาทานกัน 2 แพค หนังไทยแฟนเดย์ ก็มีโปสเตอร์มาติดที่นี่ด้วย ดังไม่เบา




ขากลับมายัง ซัปโปโร หิมะตกหนักตลอดทาง จนถึงท่ารถ แต่รถตอนกลับไม่เข้าจอดที่ท่ารถ จอดให้ลงตรงสีแยกแทน





 เราเดินผ่าน Sapporo TV Tower แวะช้อปปิ้งรายทางมาตลอด จนถึงโรงแรมที่พัก เก็บของช้อปปิ้งแล้ว ก็ออกมาหาร้านอาหารทานมื้อเย็นกัน คราวนี้เราเลือกร้านใกล้โรงแรม ตรงสี่แยก หลังจากพลาดร้านเนื้อย่างใกล้ๆกันเพราะที่นั่งเต็ม ก็เลือกร้านนี้เพราะเห็นวัยรุ่นนั่งเยอะ  ไม่ผิดหวังเลย อาหารอร่อยทุกจานและราคาไม่แพงด้วย













 ทานอาหารเสร็จแล้ว ก็เหนื่อยอ่อนขี้เกียจเดินช้อปปิ้งต่อ จึงแยกย้ายกันเข้าห้องพักกันเลย

วันที่สี่ วันนี้เรามีเวลาอยู่ในซัปโปโรจนบ่ายแก่ๆ ฉะนั้นวันนี้เราคงเที่ยวในละแวกใกล้ๆ คือ Hokkaido Shrine และ Maruyama Zoo  เราเริ่มเดินทางโดยการเดินไปขึ้นรถราง ไปแค่ 2-3 ป้าย เพราะอยากนั่งรถรางกัน ราคารถรางราคาเดียวตลอดสายคือ 200 เยน เราไปลงที่สถานี Nishiyonchome Station  จากนั้นต่อแท๊กซี่ ไปที่ Maruyama Zoo

ระหว่างยืนรอ สวนสัตว์เปิด ก็ถ่ายภาพหน้าสวนสัตว์เล่นกัน หิมะตกหนักเมื่อวาน และ วันนี้ก็ยังมีหิมะโปรยปรายอยู่ ทำให้ทิวทัศน์หน้าสวนสัตว์สวยเป็นพิเศษ อุณหภูมิเช้านี้ 0.8 องศา และสายๆหนาวกว่าเพราะหิมะที่ตกหนักขึ้น ลดไปถึง -3 องศา





 
รวบรวมสัตว์ต่างๆที่เราพบในสวนสัตว์ ผิดหวังนิดนึง ที่ไม่ยักพบนกเพนกวิน

















 และวิวสวยๆในสวนสัตว์ ท่ามกลางหิมะโปรปราย








และที่สุดท้ายสำหรับทริปนี้ คือ ศาลเจ้าฮอกไกโด(Hokkaido Shrine) เป็นศาลเจ้าของศาสนาพุทธนิกายชินโตประจำเกาะฮอกไกโด สร้างขึ้นในปี 1871 ยุคเริ่มพัฒนาเกาะ ได้อัญเชิญเทพมาประทับทั้งหมด 4 องค์ จากศาลเจ้ามีพื้นที่เชื่อมต่อกับสวนมารุยามะ ในฤดูใบไม้ผลิเหมาะแก่การชมดอกซากุระบาน ในฤดูร้อน วันที่ 14-16 มิถุนายนของทุกปี จะจัดเทศกาล Sapporo Festival หรือ Sapporo Matsuri ซึ่งจะแห่ขบวนไปตามถนน

จากสวนสัตว์ Maruyama Zoo เดินมาเพียง  700 เมตร












และก็สิ้นสุดทริปฮอกไกโดเพียงแค่นี้ แต่จะมีซ้ำสำหรับฮอกไกโดอีกแน่นอน และไม่น่าเชื่อว่า เราจะผ่านความหนาวเย็นระดับติดลบ ได้อย่างชิวชิวขนาดนี้ หนาว แต่ ไม่หนาวขนาดทารุณหรือทุรนทุรายอย่างที่กลัว แต่เรากลับมีความสุขอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวๆอย่างนี้  สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทริปนี้มีความสุขคือการเตรียมตัวเสื้อผ้าหน้าผม รวมถึงรองเท้า ที่เหมาะสมกับสภาพอากาศ

หวังว่าบันทึกการเดินทางบทนี้ จะมีประโยชน์กับทุกๆท่านที่ผ่านมาอ่านไม่มากก็น้อย...




No comments:

Post a Comment

ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......