Saturday 21 November 2015

Japan in Memories Oct 2015 - Day1

ตอนที่1 : Kansai Airport-Kyoto





ทริปใบไม้เปลี่ยนสี Oct 2015 นี้  พวกเราวางแผนข้ามปีทีเดียว วางและเปลี่ยน กลับไปกลับมาหลายรอบ  ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่การสื่อสารยังไม่เจริญเช่นทุกวันนี้ เราคงต้องพึ่งบริษัททัวร์ให้วางแผนแบบแพคเก็จให้กับเรา  แต่ปัจจุบันข้อมูลข่าวสารล้อมรอบตัวเรามากมายแทบจะทับเราตาย  ขอเพียงเราค้นหาหรือสืบค้นให้เป็น เราก็จะได้ข้อมูลทุกสิ่งที่ต้องการ

ทริปใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นนี้ก็เช่นกัน  เราเพียงแต่ตั้งโจทย์ว่า อยากไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสี จากการค้นข้อมูลเราทราบว่า ช่วงพีคของการไปเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีคือช่วงเดือน พฤศจิกายน  แต่เนื่องจากหลายๆคนในคณะไม่สะดวก เราจึงค้นหาใหม่ว่าถ้าเราจะไปปลายเดือน ตุลาคม จะพอมีใบไม้เปลี่ยนสีให้ชมหรือไม่

คำตอบคือ มี  เพราะการเปลี่ยนสีของใบไม้ไม่พร้อมกันทั้งประเทศ  การเปลี่ยนสีจะเริ่มตั้งแต่เดือน กันยายน จากทางเหนือของประเทศ ไล่ลงมาทางใต้ และ ในแถบภูเขาสูงหรือที่ราบสูง ก็จะมีใบไม้เปลี่ยนสีก่อนที่ราบในภูมิภาคเดียวกัน  และการเปลี่ยนสีของใบไม้ก็ไม่นานแค่ไม่เกิน 2-3 สัปดาห์ก็ร่วงหมดแล้ว  เช่นทางเหนือใบไม้เปลี่ยนสีตั้งแต่ปลายเดือน กันยายน  ไม่เกินกลางเดือนตุลาคม ก็ร่วงโรยเกือบหมดแล้ว  ยิ่งถ้ามีพายุเข้าจะยิ่งทำให้ใบไม้ร่วงเร็วยิ่งขึ้น

จากข้อมูลนี้ เราก็มากำหนดเส้นทางกันว่า เราจะไปที่ใด  หลายคนในคณะพึ่งจะได้มีโอกาสไปญี่ปุ่นครั้งแรก  จึงอยากเห็นวัดวาอารามแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมด้วย  บางคนอยากเห็นหมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณที่ชิราคาวาโกะด้วย  บางคนอยากเห็นภูเขาไฟฟูจิด้วย  หลากหลายความต้องการ แต่เราก็จะบรรจุลงในโปรแกรมจนได้

โดยสรุป เราจึงวางแผนตอนจองตั๋วเครื่องบินก่อนว่า จะไปลงที่สนามบินคันไซ  และเดินทางกลับที่สนามบินนาริตะ  โดยตั้งเป้าไว้ว่า เราจะไปเก็บภาพ วัดวาอาราม วิวทิวทัศน์  ได้ใบไม้เปลี่ยนสีด้วย แผนจึงมีดังนี้

วันแรก  เดินทางถึงสนามบินคันไซ  นอนในสนามบินเพื่อรอรถไฟเที่ยวแรก
วันที่2    เกียวโต - เก็บภาพวัดต่างๆ
วันที่3    เกียวโต - ช่วงเช้าเราจะไปเที่ยวที่นารา บ่ายมาแวะที่ Uji และเย็นมาที่ Fushimi Inari
วันที่4    เกียวโต - ไป Arashiyama เพื่อนั่งรถไฟสายโรแมนติก และ ล่องเรือ และสวนไผ่ปิดท้าย
วันที่5    ชิราคาวาโกะ-ทาคายาม่า - เพื่อแวะที่หมู่บ้านโบราณ Shirakawago
วันที่6    คามิโคจิ-มัตสึโมโต้ - ไปเก็บภาพใบไม้เปลี่ยนสีที่ Kamikochi และ ปราสาทมัตสึโมโต้
วันที่7    คาวากุจิโกะ -  ไปถ่ายภูเขาไฟฟูจิ
วันที่8    คาวากุจิโกะ-โตเกียว กลับมาพักที่โตเกียว
วันที่9    คามากุระ-นาริตะ  - แวะเที่ยวเมือง Kamakura เพื่อไปไหว้พระใหญ่ไดบุสึ
วันที่10  เดินทางกลับที่สนามบินนาริตะ

หลังจากวางแผนการเดินทาง โดยใช้ Google Map ช่วยในการกำหนดระยะทาง  แลกเงินเพื่อใช้จ่ายต่างๆ  ซื้อ Pass ต่างๆที่จำเป็น  เนื่องจากเราเดินทางแบบซอกแซกออกนอกเส้นทางของรถไฟ JR เยอะ เราจึงไม่ซื้อตั๋ว JR Pass แต่ใช้วิธีซื้อตั๋วสดๆในแต่ละสถานี เพื่อให้เรามีอิสสระในการเลือกได้ว่า เราจะเดินทางโดยรถไฟสาย JR หรือ รถไฟท้องถิ่น หรือ รถบัส  เมื่อคำนวณค่าตั๋วแล้ว ราคาพอกับการซื้อตั๋ว JR Pass แต่เรามีอิสสระมากกว่า  ที่พักเราเลือกที่พักที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟเพื่อสะดวกต่อการลากกระเป๋าเข้าพัก

และวันเดินทางก็มาถึง  เราออกเดินทางโดยสายการบินแอร์เอเชียเอ็กซ์ บินตรงสู่สนามบินคันไซ เมื่อเวลา 15.20 น.  และเดินทางถึงสนามบินคันไซ เวลา 22.40 น.  กว่าเราจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองออกมา ก็ไม่ทันรถไฟเข้าเมืองเที่ยวสุดท้ายตอนเที่ยงคืนแล้ว  และเพื่อประหยัดค่าที่พักเราจึงยึดเก้าอี้ในสนามบินเป็นที่นอนชั่วคราว

ตลอดทริปการเดินทาง เราจำเป็นต้องพึ่ง อากู๋ หรือ Google Map ในการตรวจสอบเส้นทางและนำร่องการเดินทาง  เราจึงเช่า Pocket Wifi ชื่อ Samurai Wifi จากเมืองไทยมาใช้ ค่าเช่าวันละ 200 บาท สามารถเชื่อมต่อมือถือพร้อมกันได้ 10 เครื่อง  แต่เพื่อความชัวร์เผื่อบางเวลาเราอาจต้องแยกกลุ่ม เราจึงเช่ามา 2 เครื่อง เพื่อให้สามารถใช้ Line ติดต่อถึงกัน





จริงๆแล้ว เราซื้อตั๋วเหมา Kansai Thru Pass ที่สามารถใช้ขึ้นรถเมลล์ รถไฟท้องถิ่น ได้ตั้งแต่ที่สนามบินคันไซแห่งนี้  แต่รถไฟจะเริ่มวิ่งตอนตีห้า จุดหมายของเราคือ เมืองเกียวโต  กว่าเราจะเดินทางถึง คงเกือบ 9 โมงเช้า  กว่าเราจะเอากระเป๋าเข้าที่พัก คงหมดเวลาไปครึ่งวันแล้ว  ดังนั้นเราจึงยอมเสียเงินนั่ง Shutter Bus ของสนามบินที่มีวิ่งเข้าเมืองโอซาก้าทุกๆชั่วโมง ราคาตั๋วคนละ 1,550 เยน  โดยเราจะออกจากสนามบินตอนเวลาประมาณ ตีสาม ไปยังสถานีโอซาก้าจะถึงประมาณตีสี่กว่าๆ  และรอขึ้นรถไฟสาย Hankyu-Kyoto Line จากสถานี  Umeda ที่อยู่ติดๆกัน ตอนตีห้า




เราเดินทางมาถึงสถาน Umeda แต่เค้ายังไม่เปิดสถานี  รอจนตีห้าตรงเวลาเป๊ะ  รปภ. จึงเปิดประตูทางเข้าสถานีให้เข้าไปได้






รอกันพักใหญ่ รถไฟขบวนแรกของวันนี้จึงเข้าเทียบชานชลา




พวกเรา 8 ชีวิต พร้อมสัมภาระกองโต จับจองที่นั่งเดินทางประมาณ ครึ่งชั่วโมง จึงเดินทางถึงเกียวโตที่สถานี Karasuma 

จากสถานีนี้มีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Karasuma Line เชื่อมต่อ คือสถานี Shijo  นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินต่อมาทางสถานีเกียวโต 1 สถานี ลงยังสถานี Gojo  โดยการเดินทางตั้งแต่นี้ต่อไปเราจะใช้บัตร Kansai Thru Pass ให้คุ้มค่า 4,000 เยน การเดินในสถานีต่างๆ เราได้ อากู๋ นำทางซึ่งจะบอกประตูทางออกที่ใกล้ที่สุดให้ด้วย ทำให้เราไม่เสียเวลาหรือเดินอ้อม  ออกจากสถานี เดินเลี้ยวเข้าซอยไม่ถึง 100 เมตร ก็ถึงที่พัก




ที่พักวันนี้เป็นเกสเฮาส์เล็กๆ ชื่อ Shiori Ann เป็นห้องนอนรวมแยก หญิง ชาย เตียง 2 ชั้น  ราคาคืนละ 2,900 เยนต่อคน  มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม ห้องน้ำรวมแต่เป็นสัดส่วน มีสบู่เหลว แชมพู ให้พร้อม ขาดแต่ผ้าเช็ดตัวต้องนำมาเอง หรือเช่าผืนละ 100 เยน  

เราไม่มีเวลาสำรวจอะไรมากมาย ฝากกระเป๋าไว้ก่อน ( เพราะเวลาเช็คอินทุกโรงแรมในญี่ปุ่นคือ 14.00 น. ) และเริ่มต้นทริปเลย  

เรามาร์คจุดที่จะเที่ยวชมวันนี้ไว้หลายแห่ง  แต่เราจะสามารถไปได้กี่แห่งในวันนี้



สถานที่ที่เราวงกลมไว้ คือที่ที่เราตั้งใจจะไป และ ที่ขีดเส้นสีแดง คือที่เราไปจริงๆ  

เราไปเที่ยวกันดีกว่า

เราออกจากเกสเฮาส์ตอนประมาณเจ็ดโมงกว่าๆ  กลับมาขึ้นรถไฟใต้ดินสายเดิม แต่ย้อนกลับทางเดิมเลยขึ้นไปลงยังสถานี Kita Oji  และต่อรถเมลล์สาย 101,205,206 ประมาณ 6 ป้าย  เพื่อไปลงที่วัดทอง หรือ Kinkakuji  หรือวัดอิคิวซังนั่นเอง  

เรามาถึงวัดก่อนแปดโมงเช้า  แต่วัดเปิดให้เข้าชมตอน 9 โมงเช้า  ไม่มีอะไรดีกว่าการหาอาหารใส่ท้อง  แต่ร้านอาหารที่นี่เปิดสาย  ดังนั้นมื้อแรกของทริปเราจึงใช้บริการ ตู้หยอดเหรียญเลือกบะหมี่ถ้วยกันคนละถ้วย







เติมพลังกันอิ่มแล้ว ก็เก็บภาพด้านนอกรอเวลา



ใหล้เวลาเปิด นักท่องเที่ยว นักเรียนมากันเป็นกลุ่มคณะ เริ่มหนาตา และกรูกันเข้าเมื่อได้เวลาเปิดตรงเวลาเป๊ะ







วัดทองยามเช้าวันนี้ กับวัดทองเมื่อ 2 ปีก่อนที่เคยมา ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง สะอาดสะอ้าน ต้นไม้ได้รับการดูแลอย่างดี นักท่องเที่ยวยังแน่นขนัดเหมือนเดิม  แต่สีสันของใบไม้เปลี่ยนสีสันน้อยกว่าเมื่อ 2 ปีก่อนในเวลาเดียวกัน ยังเขียวไม่ค่อยมีสีแดงหรือเหลืองมากนัก

และก็น่าชมเชย ระบบการเรียนการสอนนอกสถานที่ของที่นี่ ทั้งครู ทั้งนักเรียน เค้าตั้งใจมาทัศนศึกษากันจริงจัง ฟังและจดกันทุกคน เดินไปไหนเป็นกลุ่มสำรวมไม่วิ่งเล่น หรือแตกแถว




เล็กๆน้อยๆก่อนออกจากวัด เราอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก จึงไม่ทราบความหมายของเทียน  จะเหมือนเทียนประจำวันเกิดแบบบ้านเราหรือไม่




จากวัดคินคากุจิ  เรานั่งรถเมลล์ย้อนกลับมาสถานีรถไฟใต้ดิน Kita Oji  เพื่อต่อรถเมลล์สาย 8  ไปยังวัดต่อไป  หลังจากแวะทานอาหารในฟาสฟู๊ดมื้อเที่ยงกันแล้ว ก็มารอรถเมลล์ 



เราขึ้นรถเมล สาย 8  ไป 12 ป้าย เพื่อไปยังวัด Enkoji  และวัด Shisendo ที่อยู่ติดกัน  จากปากซอย เดินเข้าไปอีกประมาณ 650 เมตร  ก็ถึงวัด Enkoji






พอจะได้ใบไม้แดงบ้าง  กับสวนญี่ปุ่นสวยๆ  











เดินหามุมถ่ายภาพไปรอบๆวัด









วัดต่อไปคือ วัด Shisendo ใกล้ๆกัน แต่พอเห็นเนินและบันไดสูง พวกเราก็เปลี่ยนใจเอาดื้อๆ  ขอไปวัดต่อไปดีกว่า

วัดต่อไปคือวัด Kiyomizu หรือวัดน้ำใส  เรานั่งรถเมลล์หน้าปากซอย สาย5  รถติดพอสมควรกว่าจะถึงที่หมาย  จากปากซอยเราต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 800 เมตร เดินไปกับฝูงชนที่มุ่งหน้าไปทางเดียวกัน







เทรดฮิตของที่นี่ ไม่ว่าสาวๆญี่ปุ่น หรือ นักท่องเที่ยวจะนิยมแต่งชุดยูกาตะ มาไหว้พระ  ทำให้เราได้ภาพสาวๆญี่ปุ่นทั้งจริงทั้งปลอม  และ ยังดักถ่ายเกอิชาหรือไมโกะตัวจริงอีกด้วย ถ่ายภาพแล้วก็ขอถ่ายภาพด้วย สนุกสนานทั้งเราทั้งเค้า




ไหลตามกันมาและแหวกฝ่าฝูงชนเข้ามาในวัด ก็ยังไม่วายเจอฝูงชนแน่นขนัดเหมือนงานวัดบ้านเรา หลังจากซื้อบัตรผ่านประตูเรียบร้อยแล้ว ก็เดินเข้าในศาลาไม้หลังใหญ่ พื้นที่ส่วนใหญ่กำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะ และคนแน่นมาก จึงเดินเลี่ยงไหลตามออกมาด้านข้าง ไปยังจุดมุมมหาชนที่ต้องมาเก็บภาพวัดนี้มุมนี้กัน  ใบไม้ยังคงเขียวอยู่แต่ปนเหลืองเยอะแล้ว








และบริเวณน้ำสามสายศักดิ์สิทธิ์มาบรรจบกัน จนวัดนี้ได้ชื่อว่าวัดน้ำใส  มีคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวที่ศรัทธาเข้าแถวเพื่อไปดื่มหรือตักน้ำมาล้างหน้า





เลืยนแบบ ถ่ายภาพตามเทรนเค้าซะหน่อย




ฟ้าเริ่มมืดแล้ว พระจันทร์ลอยเด่นสวย




ขากลับเราเดินกลับทางตรอก Geon เพื่อทะลุไปยังศาลเจ้า Yasaka แต่เดินกันไปได้ครึ่งทาง ทุกคนก็หมดแรง เพราะอดนอนมาทั้งคืน และ เดินกันทั้งวัน  ขอนั่งรถเมลล์กลับมาลงที่ หน้าตลาด Nishiki Market เพื่อหาข้าวเย็นทานกัน  เราเลือกร้านที่มีปิ้งย่างและมีพิซ่าญี่ปุ่นทานกัน ไม่รู้เพราะหิวหรืออาหารอร่อย แต่ก็ทานกันพุงกาง 




อิ่มหนำแล้วกลุุ่มสาวๆ ก็เดินไปลงรถไฟใต้ดินที่สถานี Shijo มาลงที่สถานี Gojo ตอนเช้าคนน้อยร้านค้ายังไม่เปิดก็เดินไปง่าย  แต่ตอนนี้คนเยอะมากกกก ร้านค้าเปิดด้วย กะเหรี่ยงไทยเดินไปงงไป ไปไม่ถูก  จึงเดินไปถานหนุ่มญี่ปุ่นที่ประเมินแล้วน่าจะพอพูดกันรู้เรื่อง พ่อหนุ่มฟังเรารู้เรื่องแต่ไม่พูด กวักมือเดินพาพวกเราไปชี้ทางช่องที่จะขึ้นรถไฟใต้ดินให้เลย น่ารักมากจริงๆ


ส่วนหนุ่มๆ เค้าคงขี้เกียจเดิน เรียกแท๊กซี่ให้ไปส่งที่ Shiori Ann 

ถึงที่พัก แยกเข้าเตียงใครเตียงมัน รื้อของออกมาอาบน้ำแปรงฟัน ชาร์ตแบตกล้อง กะรอให้เต็ม 1 ก้อนก่อน และจะชาร์ตก้อนที่2 ทิ้งไว้ค่อยนอน แต่ก็เผลอหลับไปรวดเดียวจนถึงตีห้าเลย  

พรุ่งนี้คณะของเราจะไปเที่ยวที่เมืองนารากัน ติดตามกันได้นะคะ




No comments:

Post a Comment

ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......