Saturday, 29 November 2014

แบกเป้เที่ยวญี่ปุ่นเมือง Wakayama ตอนสุดท้าย


ตอนสุดท้ายของการแบกเป้เที่ยวญี่ปุ่ม เมืองWakayama




ดูตอนแรก จากสนามบินคันไซ มายังเมืองWakayama และช้อปปิ้งที่ Osaka
http://somersetmghm.blogspot.com/2014/11/wakayama-2.html

ดูตอนสอง Kimii-Dera , Mirina City
http://somersetmghm.blogspot.com/2014/11/wakayama-2.html


วันสุดท้ายนี้ เรามีเวลาอยู่ที่เมือง Wakayama จนถึง 18.00 น. และต้องเดินทางไปยังสนามบินคันไซก่อน 2 ทุ่ม เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯในตอน เที่ยงคืน และเราก็ต้องเช็คเอาท์จากโรงแรม Granvia Wakayama ก่อนเที่ยง

ฉะนั้นวันนี้ ก็คงเที่ยวในละแวกใกล้ๆนี้ และที่เหมาะที่สุด คือ ปราสาทวากายามา ที่อยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 2 กม.

เราออกจากโรงแรมตอนแปดโมงเช้า แวะหาของกิน แต่ร้านอาหารยังไม่เปิด ดังนั้นก็ต้องพึ่งอาหารสำเร็จรูปในร้านสะดวกซื้อเช่นเคย ได้สลัดผักและใส้กรอก ให้ไอ้ตัวเล็กหม่ำระหว่างรอรถเมลล์สาย 0 ส่วนตัวเรายังอืดจากหม้อไฟเมื่อคืน ขอบายมื้อนี้ดีกว่า



เราลงรถเมลล์ที่ป้าย "Koen-mae" หัวมุมปราสาทวากายามา เดินข้ามถนนข้ามมายังประตูทางเข้าหัวมุมไฟแดง เป็นเช้าที่เงียบสงบอากาศหนาวเย็นสบาย ใบไม้เปลี่ยนสีสองข้างทางถนนสวยงามจับใจ ช่างผิดกับอีก 2-3 ชั่วโมงข้างหน้านี้ ที่แออัดอึกทึกจากนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมที่นี่เช่นกัน

ปราสาทวากายามา งดงามเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ใด

ตัวปราสาทมีอาคารล้อมรอบและสร้างเป็นทางเชื่อมสามารถเดินถึงกันได้ ลักษณะปราสาทแบบนี้ มีเพียงแค่สามแห่งในญี่ปุ่น อีกสองที่คือ ปราสาทฮิเมจิและปราสาทมัตสึยะมะเจ้าของปราสาทคือ โทกุงะวะ โยชิมุเนะ (Tokugawa Yoshimune) โชกุนคนที่แปดแห่งตระกูลโทกุงะวะอันเกรียงไกร มีชื่อเสียงว่าเป็นนักรบเก่งกล้า ตัวปราสาทเดิมสร้างขึ้นเมื่อปี 1585 แต่โดนไฟไหม้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนล่าสุดสร้างขึ้นเมื่อปี 1958 แต่ยังคงเหลือประตูทางเข้าด้านหนึ่งที่ยังคงมีมาตั้งแต่การสร้างครั้งแรก คือประตูโอกะงุจิ (Okaguchi)

อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ปราสาทนี้โดดเด่นคือ การเรียงหินระหว่างทางขึ้นโดยเรียงตามยุคสมัยต่างกันไป จึงทำให้เกิดลวดลายสวยงามต่างกัน และหากสังเกตให้ดี หินทุกก้อนนั้นมีรายชื่อจารึกไว้ อันเป็นชื่อของบรรดาผู้ที่แบกหินมาสร้างปราสาท ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เรียกปราสาทนี้ว่า ปราสาทเสือหมอบ เพราะหินที่นำมาสร้างนำมาจากภูเขาลูกหนึ่งที่มีลักษณะเป็นเสือหมอบ ภายในปราสาทมีสวนญี่ปุ่นสวยงามพร้อมเปิดเป็นที่จิบชาชมสวน อีกหนึ่งบริการโดดเด่น
สำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการคือ มีเจ้าหน้าที่ของปราสาทในชุดนินจามาคอยให้บริการ









ช่วงนี้สวนที่อยู่ทางเข้าปราสาทสวยงามจากใบไม้เปลี่ยนสี และยามเช้าที่อากาศไม่หนาวมากนัก นักท่องเที่ยวยังไม่มี มีแต่ชาวบ้านที่มาวิ่งออกกำลังกาย เราเดินชมสวนอย่างสบายอารมณ์ เดินไปจนถึงเชิงเนินทางขึ้นปราสาท แวะถามคุณลุงที่ขี่จักรยานผ่านมา คุณลุงพยักหน้าและใจดีจอดรถลงมาเดินพาขึ้นบันได และชี้ชวนให้ชมความงามสองข้างทาง













ชี้ชวนให้หลานชม โคนต้นไม้ที่มีเสื่อญี่ปุ่น โอบมัดรอบต้นไม้รายทาง และอธิบายให้หลานทราบถึงภูมิปัญญาของคนที่นี่ เพราะในหน้าหนาวเมื่อหิมะตกทับถมบนดิน แมลงที่อยู่ใต้ดินจะหนีหนาวขึ้นมาอาศัยบนต้นไม้ และจะกัดกินใบไม้ ยอดไม้ ให้ได้รับความเสียหาย การหุ้มเสื่อไว้ทำให้แมลงหยุดแค่ที่โคนไม้ไม่ขึ้นมาบนกิ่งหรือยอดไม้ ทำให้ต้นไม้รอดจากการถูกกัดกิน สามารถผลิใบเมื่อหน้าหนาวผ่านไป






ก่อนเข้าปราสาท ต้องไปซื้อตั๋วจ่ายค่าเข้าปราสาท ลืมพกคูปองส่วนลดจากการซื้อบัตร Kansai Thru Pass ทำให้ต้องจ่ายราคาเต็ม 200 เยน








เราเข้าปราสาทเป็นกลุ่มแรกๆ จึงได้เห็นความละเอียดปราณีตของการดูแลสถานที่ พื้นทางเดินที่เป็น กรวด ได้รับการแต่งให้เรียบและเป็นเส้นแบบเซน หลังจากนักท่องเที่ยวเดินเหยียบย่ำความเป็นเซนก็คงสลายหายไป และเจ้าหน้าที่ก็คงทำเช่นนี้ทุกวัน














ภายในปราสาท จัดแสดงสิ่งของที่เกี่ยวกับโชกุน เสื้อผ้า และอาวุธต่างๆ ในสมัยโชกุนผู้ครอบครองปราสาท มีป้ายห้ามถ่ายภาพ จึงได้แต่เดินชมในแต่ละชั้นขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงยอดบนสุด ที่มีจุดชมวิวเมืองวากายามา ให้เห็นไกลถึงทะเล













จนเกือบสิบเอ็ดโมงจึงเดินลงจากปราสาท และก็ต้องรีบกลับมาเก็บของเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมซะก่อน หลังทานข้าวเที่ยงแล้วเราอาจกลับมาเดินชมสวนกับไม้ใบเปลี่ยนสีอีกทีก็ได้






เราเดินกลับมายังป้ายรถเมลล์เดิมที่ลงเมื่อเช้า และข้ามไปรอรถที่ฝั่งตรงข้ามซึ่งมีศาลเจ้าเล็กๆอยู่ข้างทาง แวะเข้าไปชมสักนิด










รอรถเมลล์สักพัก กับความเงียบของเช้าวันอาทิตย์ที่ไร้ผู้คน







ในโรงแรมมีตู้ขายอาหารแบบหยอดเหรียญ ไอ้ตัวเล็กขอลองซื้อ ลองใช้ตู้ และ ลองชิมอาหารในตู้ว่าอร่อยแค่ไหน ก็ถือว่ารสชาดพอรับได้












หลังจากเช็คเอาท์เรียบร้อย และฝากกระเป๋าไว้ที่ล้อบบี้โรงแรม เพื่อกลับมาเอาอีกทีตอนหกโมงเย็น ก็หาร้านอาหารให้ตัวเล็กทาน เพราะหล่อนบ่นหิวอีกแล้ว ทั้งที่พึ่งกินทาโกะยากิ จากตู้หยอดเหรียญไปหยกๆ









หลังทานข้าวเสร็จ ก็นึกได้ว่า ของดีที่เมืองวากายามาอีกอย่างที่นักท่องเที่ยวจะต้องไปชม คือ ไปเยี่ยมเจ้าเหมียวทามะ นายสถานีรถไฟที่สถานี Kishi

ทางรถไฟสาย Kishiyama Line นายสถานีรถไฟ คือแมวชื่อทามะ จุดกำเนิดเกิดขึ้นที่ เมืองวากายาม่า เป็นเมืองชนบทเล็กๆ ที่เงียบเหงา และที่แห่งนี้เอง ก็มีสถานีรถไฟที่เล็กมาก แทบจะไม่มีผู้โดยสารมาใช้บริการกันสักเท่าไร อีกทั้ง ด้วยความเป็นเมืองที่มีประชากรในพื้นที่ก็น้อย แถมยังมีการตัดถนนเข้ามาในเมืองอีก ซึ่งการโดยสารด้วยรถยนต์สร้างความสะดวกสบายให้กับคนในพื้นที่มากกว่า ทำให้สถานีรถไฟแห่งนี้ดูจะถูกปล่อยทิ้งไว้ให้ทรุดโทรม

ทางกิจการรถไฟของเมืองวากายาม่า เห็นว่าถ้าปล่อยให้ดำเนินการเช่นนี้ต่อไปคงจะไม่ไหว รอวันปิดสถานีเพียงอย่างเดียว นายสถานีรถไฟแห่งนี้จึงผุดไอเดีย หัวใสขึ้นมา จากการสังเกตุเหตุการณ์รอบๆ ตนเอง นั่นคือ ตนได้เลี้ยงแมวเพศเมียน่ารักตัวหนึ่งไว้ชื่อว่า ทามะ

ทุกๆ วันนายสถานีรถไฟมาทำงานที่นี่ เจ้าทามะ ก็จะเดินติดตามเขามาทุกวัน ซึ่งกิจกรรมประจำวันของเจ้าทามะ ก็คือ การนั่งเฝ้าเจ้าของ หลับบ้าง ตื่นบ้าง พอนานๆวันเข้า เจ้าแมวตัวนี้ ชักเริ่มเรียนรู้ภาษามากขึ้น บางครั้ง เจ้าทามะ เดินเล่นบริเวณสถานีรถไฟ แล้วเห็นผู้โดยสารมาใช้บริการ ตัวมันจะเดินเข้าไปเคล้าเคลีย ให้ผู้คนลูบเล่น แล้วพวกเขาก็ถ่ายรูปคู่กับมัน บางทีก็นั่งตามชานชาลาสถานีรถไฟ เพื่อรอขบวนรถไฟวิ่งเข้ามา เปรียบเสมือนเป็นพนักงานต้อนรับ นั่นเอง

นายสถานีรถไฟ จึงพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส แต่งตั้งเจ้าทามะ ขึ้นเป็นายสถานีรถไฟ พร้อมเครื่องแต่งกาย ประดับยศหรูหรา ใส่หมวกให้ดูเท่ห์ เพื่อให้กลายเป็นข่าวใหญ่โต เป็นจุดสนใจแก่ผู้คน พอเจ้าทามะแต่งองค์ทรงเครื่องเข้าให้ ดูแล้วสร้างความน่ารัก น่าชังมากกว่าเดิม แถมยังทำออฟฟิศเล็ก ติดแอร์ รับขวัญนายสถานีรถไฟตัวใหม่ให้อีก

เมื่อผู้คนมองผ่านกระจกใสของออฟฟิศเห็นความน่ารัก น่าหยิก ของเจ้าทามะ เข้าให้ เกิดกระแสบอกต่อ จนสถานีรถไฟวากายาม่าในอดีตที่เงียบเหงาแห่งนี้ กลายเป็นจุดที่ต้องแวะลงไปเที่ยว เพื่อเยี่ยมชมความน่ารักของเจ้าแมวทามะ ทำให้มันกลายนายสถานีรถไฟ ที่เป็น “แมว” ตัวแรกของโลก ไปในทันที

เราเริ่มต้นจากสถานรถไฟ JR Wakayama ถามเจ้าหน้าที่ว่าจะขึ้นรถไฟที่ชานชลาไหน เจ้าหน้าที่ชี้ที่พึ้นทางเดิน ให้เดินตามรอยตีนแมวไปเรื่อยๆ ก็จะพบชานชลาที่จะขึ้นได้เอง


















รถไฟสายนี้ไม่ธรรมดา บรรจงตกแต่งภายในอย่างสวยงาม ทีกรงแมว และของเล่นแมว และตุ๊กตาโชว์ บังเอิญวันนี้เป็นวันของเด็กผู้ชาย มีเด็กๆที่ผู้ปกครองมาขึ้นรถไฟสายนี้คับคั่ง













ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ก็ถึงสถานี เรามาพร้อมกับคณะทัวร์ชาวจีนคณะใหญ่ ที่ตั้งใจจะมาดูเจ้าเหมียวโดยเฉพาะ  แต่คนคงมาลูบคลำเจ้าทามะมากไปจนเฉา  ทางสถานีเลยให้เจ้าเหมียวนอนอยู่ในตู้กระจก ให้คนได้ดูจับต้องไม่ได้  ภายในสถานีก็จะมีรูปถ่ายเจ้าทามะในอริยบทต่างๆ และมีร้านขายของที่ระลึกเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเจ้าเหมียวโดยเฉพาะ


















สักพักเราก็กลับมาทางเดิมกลับมาจนถึง สถานี JR Wakayama เย็นมากแล้ว จะไปสวนที่ปราสาทวากายามาอีกครั้ง ก็กลัวจะเสียเวลากลับมาไม่ทัน โต๋เต๋ที่ห้างข้างโรงแรมพักใหญ่ ก็ขนของขึ้นรถเมลล์สาย0 มายังสถานีรถไฟวากายามาชิ นั่งรถไฟมายังสนามบินคันไช ก่อนเวลา และคิดไม่ผิด เรามีเวลาเดินช้อปปิ้งส่งท้ายในสนามบิน ชั้น 3-4 มีร้านค้ามาเปิดหลายร้าน ราคาพอๆกับด้านนอก ช้อปขนมและอะไรเล็กๆน้อยๆ จนใกล้เวลาจึงมานั่งรอขึ้นเครื่องบินกลับไทย

ในที่สุดทริปแบกเป้ก็จบลงด้วยดี เกินความคาดหมาย และขอบอกว่า การวางแผนการเดินทางล่วงหน้า ศึกษาข้อมูลก่อนล่วงหน้า รวมถึงวางแผนต่างๆไว้ มีผลต่อการเดินทางที่ราบรื่นตลอดทริป ถึงจะมีการสอบถามคนรอบข้าง แต่ก็เป็นการถามเพื่อยืนยันการตัดสินใจที่ถูกต้อง

ปีหน้าหาญกล้า ตั้งใจว่าจะไปโตเกียว ไปภูเขาไฟฟูจิ และ หมู่บ้านชิราคาวา คงมีบันทึกเกิดขึ้นมาอีกหลายฉบับแน่นอน.....




No comments:

Post a Comment

ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......