Monday, 17 April 2023

OK Betong 100โค้ง1000ก้าว

 


31 มีค. - 2 เมย. 2566  คณะทั้ง 5 คน นัดพบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 05.00 น. จุดเริ่มต้นของการเดินทาง  ปลายทางคือสนามบินหาดใหญ่ จากนั้นพวกเราต้องเปลี่ยนการเดินทางเป็นรถตู้โดยสารที่วิ่งระหว่าง หาดใหญ่-ยะลา-เบตง  หลังจากผ่านการเดินทางจากหาดใหญ่ มาถึงยะลา เส้นทางดีปลอดภัยทั้งเส้นทางและความร้ายแรงของสถานการณ์ 4 จังหวัดภาคใต้ เส้นทางสงบเงียบมองเห็นชาวบ้านข้างทางต่างมีวิถึชีวิตกันตามปกติ   หลังจากผ่านทะเลสาป Halabala Forest Lake หรือทะเลสาปบางลาน  ระยะทาง 51 กม. จากตรงนี้ถึง อำเภอเบตง จะเป็นเส้นทางที่ได้รับการขนานนามว่า 100โค้ง1000ก้าว วิวข้างทางเป็นอย่างไรไม่รู้ เพราะพวกเราได้แต่นั่งหลับตาไปจนถึงตัวเมืองเบตง  ในเวลา 15.00 น.


เส้นทางจากยะลามาเบตง นอกจากความคดเคี้ยวของเส้นทางแล้ว ถนนหนทางดีมากลาดยางตลอดเส้นทาง แม้ในตัวเมืองเบตงตลอดเวลาที่เราเยี่ยมชมทุกตรอกซอกซอย ถนนล้วนได้รับการสร้างเป็นคอนกรีต หรือลาดยาง บ้านเมืองสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย  ที่สำคัญที่เราจะได้พบต่อไปคืออัธยาศัยไมตรีของชาวเมืองเบตงที่มีต่อแขกผู้มาเยือนอย่างจริงใจ

ที่พัก เราเลือกเกสเฮ้าส์เปิดใหม่เล็กๆ ชื่อ Upper Bedroom Betong ที่มีแค่ 2 ห้อง ซึ่งพอพวกเราเข้าพักก็เหมือนเราครอบครองทั้งเกสเฮ้าส์เป็นของเราเอง เจ้าของตกแต่งไว้อย่างเรียบง่ายและสวยงามพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครันรวมถึง ไวไฟเน็ตเวิร์ค และ Netflix ให้พวกเราได้ดูหนังผ่อนคลายได้อย่างดี




หลังจากเช็คอินเข้าที่พัก เก็บกระเป๋าเรียบร้อย ท้องพวกเราก็ร้องจ๊อกจ๊อก เตือนว่าพวกเรายังไม่ได้กินอาหารเป็นเรื่องเป็นราวเลย มื้อเช้าที่ผ่านมาก็กินกันอย่างเร่งรีบเพราะใกล้เวลารถออก  เจ้าของเกสเฮ้าส์แนะนำร้านรวงข้าว ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแค่เดินข้ามถนน เป็นอาหารตามสั่ง พวกเราสั่งไก่เบตง ผัดถั่วฝักยาว แกงเหลือง และอีก 2-3 อย่าง ซึ่งอร่อยมากทุกจาน ไก่เบตงอร่อยสมคำร่ำลือ ผัดถั่วก็สดกรอบ แกงเหลืองเน้นเนื้อปลาเต็มชามก็อร่อยจนซดกันเกลี้ยง ไม่ลืมลองกินเฉาก๊วยเบตงด้วย ไม่รู้เพราะหิวหรือยังไง แต่ก็เป็นมื้อที่ทุกคนชื่นมื่นมาก

อิ่มแล้ว แต่อากาศภายนอกยังร้อนอบอ้าว เราเลยกลับมาพักผ่อนที่ห้องพัก นัดกันว่าสัก ห้าโมงเย็นเราค่อยเดินสำรวจเมืองไปหอนาฬิกากัน

ห้าโมงเย็นแดดเริ่มร่ม ความร้อยค่อยผ่อนคลายลง  พวกเราก็เริ่มออกเดินชมเมืองสำรวจเมือง เส้นทางจากที่พักไปยังหอนาฬิการะยะทาง กิโลกว่าๆ  เราเดินผ่านที่ทำการอำเภอเบตงและสถานีตำรวจเบตง ที่ตัวอาคารยังคงความเก่าแก่ของสถาปัตยกรรมดั่งเดิมไว้ เราได้แต่เดินผ่านกะว่าพรุ่งนี้ผ่านมาอีกทีจะเข้าไปดูในอาคาร  ผ่านมัสยิดกลางเบตง เค้ากำลังมีงานมีพิธีการอะไรสักอย่างอาจเป็นพิธีถือศีลอดซึ่งเป็นช่วงนี้พอดี  เราเลยแค่หยุดด้านหน้าถ่ายด้านหน้าและผ่านไป







ก่อนถึงหอนาฬิกา เริ่มเห็นสตรีทอาร์ตตามตรอกซอกซอยที่เดินผ่าน 







ไม่ช้าไม่นาน พวกเราก็บรรลุถึงหอนาฬิกา แลนด์มาร์คที่สำคัญที่ใครมาเบตงต้องมาเยี่ยมตรงนี้ บริเวณหอนาฬิกานี้รายรอบด้วย ตัวหอนาฬิกาเก่าแก่  ตู้ไปรษณีย์ยักษ์ และอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์  



เลี้ยวเดินเข้าตลาด แวะชิมขนมครกยกถาด โรตีเบตง เริ่มมืดแล้วพวกเราก็เดินมาที่ปากทางเข้าอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ 






แวะถ่ายรูปหอฬิกาเบตงสักนิด หอนาฬิกาเมืองเบตงเป็นสิ่งก่อสร้างคู่เมืองเบตง โดยสร้างด้วยหินอ่อนจากจังหวัดยะลา เสน่ห์ที่คู่หอนาฬิกาคือ นกนางแอ่นนับพันตัวที่เกาะสายไฟบริเวณหอนาฬิกา ซึ่งมีจำนวนมากช่วงเดือนกันยายนถึงมีนาคม เพราะนกนางแอ่นเหล่านี้บินหนีความหนาวเย็นมาจากไซบีเรีย เพื่อมาอิงแอบพักอาศัยที่เมืองเบตง แม้จะดูแปลกตาแต่ก็มีความน่ารัก และเป็นความพิเศษอีกรูปแบบหนึ่งของเมืองเบตงที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง มีเรื่องเล่าว่าหากท่านโดนมูลของนกนางแอ่นตกใส่ในบริเวณนี้เข้าไม่นานท่านจะต้องกลับมาเยือนเมืองเบตงอีกแน่นอน นอกจากนี้ยังเหมือนเป็นสัญลักษณ์และจุดศูนย์กลางของเมืองอีกด้วย เพราะตั้งอยู่ที่จุดตัดของถนนสุขยางค์กับถนนรัตนกิจ






อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ อุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาแห่งแรกของประเทศไทย ที่ขุดทอดโค้งให้รถวิ่งไป-มาก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก มีความยาวตลอดอุโมงค์ ประมาณ 273 เมตร กว้าง 9 เมตร สูง 7 เมตร ผิวจราจรคู่ กว้าง 7เมตร ทางเท้าเดินกว้างข้างละ 1 เมตร  ได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1มกราคม 2544







พวกเราเดินทะลุอุโมงค์ ออกไปอีกด้าน เดินชมตลาดนัดเล็กๆคุยกับคนขายเสื้อยืดถูกอัธยาศัยจนคนขายเสื้อยืดอาสามาส่งพวกเราด้วยรถซาเล้งเล็กๆ ถึงที่พักของพวกเรา วันแรกก็จบลงด้วยความประทับใจในน้ำใจของคนเบตง

เช้านี้ เราว่าจ้างรถ 2 แถวรับจ้างให้พาไปเที่ยวทะเลหมอกไอเยอร์เวง และเที่ยวรอบเบตง  เรานัดรถไว้ประมาณ ตีห้าครี่ง  ทางคนขับรถได้ขออนุญาตพวกเราพาผู้โดยสารไปด้วย 1 คน เป็นน้องผู้หญิงที่พาลูกมาเข้าค่าย และตัวเองว่างๆเลยนั่งรถตู้มาเที่ยวเบตงคนเดียว  พวกเราไม่ขัดข้องและหลังจากทริปเบตง พวกเราก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาอีก 1 คน 

ทะเลหมอกไอเยอร์เวง ตั้งอยู่ที่ตำบลอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกยอดฮิตของเบตงที่เดินทางสะดวกรถถึง และมีทะเลหมอกให้ชมตลอดทั้งปี ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง  ไฮไลท์ของทะเลหมอกอัยเยอร์เวง คือ สกายวอล์คสูงจำนวน 6 ชั้น ที่สามารถชมวิวทะเลหมอกในมุมสูงเหมือนกำลังยืนเหนือทะเลหมอก และขุนเขาเขียวที่เรียงรายสลับซับซ้อน มีทางเดินลอยฟ้าทอดยาวไปจนสุดระเบียงกระจกวงกลมที่กลายเป็นจุดถ่ายภาพที่สวยงามแปลกตา 

ที่มาของชื่อ “อัยเยอร์เวง” มาจากชื่อตำบล เดิมทีชื่อตำบลฮาลา แต่ชาวฮาลาได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานมาตั้งในบริเวณที่ราบริมตลิ่งแม่น้ำปัตตานี ซึ่งมีบ้านพักสำหรับผู้เดินทางระหว่างยะลา-เบตง เจ้าของเป็นชาวจีน มีชื่อว่า “เวง” และมีชื่อภาษายาวีว่า “อัยเยอร์”  แปลว่าสายน้ำ จึงเป็นที่มาของชื่อตำบลและชื่อจุดชมวิว

ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง   ตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอเบตง ประมาณ 40 กิโลเมตร ในพื้นที่ของเขาไมโครเวฟ มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,038 เมตร สำหรับการเดินทางมาที่นี่เมื่อมาถึงจุดชมวิว รถทุกชนิดต้องจอดไว้บริเวณลานจอดรถ ไม่อนุญาตให้นำรถส่วนตัวขึ้นไปบริเวณสกายวอลค์เพราะมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด จากนั้นใช้บริการรถมอเตอร์ไซต์รับจ้าง ไปยังสกายวอลค์ 




ขณะที่พวกเราเก้ๆกังๆ ว่าจะไปตรงไหนกันดี เพราะยังไม่เคยมา คนขับรถ 2 แถวที่พาเรามาจากในเมืองเบตง ก็เดินมาหาพวกเรา พาไปไปจุดถ่ายรูปที่อยู่ตรงข้ามหอสกายวอลค์ โดยคนขับชื่อ บังมะ ได้บอกพวกเราว่า ด้านตรงข้ามเป็นจุดชมทะเลหมอกเดิม ก่อนจะสร้างหอสกายวอลค์ คนไม่ค่อยมี หลังจากนั้นค่อยกลับมาที่หอสกายวอลค์  ซึ่งพวกเราก็เชื่อและไม่ผิดหวังเลย วิวด้านนี้กว้างเห็นได้ชัดกว่าด้านหอสกายวอล์ค 

บังมะนอกจากจะขับรถยังเป็นมัคคุเทศพิเศษ ได้พาพวกเรามา และช่วยถ่ายภาพให้พวกเราด้วยมือถือของบัง ซึ่งพวกเรามารู้ภายหลังว่า บังมะ มีเพจชื่อ บังมะ รถเที่ยวเลหมอกเบตง (บังมะ นำเที่่ยวเบตง) นอกจากพาเที่ยว บังมะยังมีฝีมือให้การถ่ายภาพ ได้ถ่ายภาพงามๆให้พวกเราตลอดเส้นทาง 








ภาพจากจุดชมวิว ตรงข้ามหอสกายวอล์ค








หลังจากนั้น เราก็ขึ้นไปบนหอสกายวอล์คกัน สกายวอล์คเป็นหอคอยสูง มีทั้งหมด 6 ชั้น เริ่มตั้งแต่ชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้นที่มีทางเดินทอดยาวไปยังระเบียงวงกลม ส่วนชั้น 4-6 เป็นจุดชมวิวแบบสี่เหลี่ยมที่มีที่กระจกยกสูงเป็นระเบียงชมวิวสำหรับกันไม่ให้ตกลงไป 

บังมะให้พวกเรายืนบนระเบียงทางเดินไปยังพื้นกระจก ตัวบังมะขึ้นไปชั้น 4 หรือ ชั้น5 ถ่ายภาพพวกเราจากมุมสูง



วิวทางด้านสกายวอล์ค สวยไม่แพ้ด้านตรงข้าม แต่ปริมาณคนที่เยอะมาก และ ราวกระจกกันตกค่อนข้างสูง ทำให้การถ่ายภาพไม่ค่อยได้มุมที่ต้องการนัก  แต่ถ้าขึ้นไปชั้น 4 5 6  จะได้มุมที่ถ่ายได้สวยกว่า











ลงจากสกายวอล์คได้ไม่ไกลนัก บังมะพายังจุดลับที่ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆมา เป็นจุดที่ชมวิวที่เห็น เขาGunung​ Silipat​ ซึ่งเป็นจุดชมทะเลหมอกอีกจุดที่มองมาเห็นทะเลหมอกไอเยอร์เวงระยะไกล








ลงมาจากสกายวอล์คแล้ว บังมะพาพวกเราไปน้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9  เป็นน้ำตกเล็กๆ ที่ได้รับการทำทางเดินด้วยคอนกรีตอย่างดี น่าแปลกใจที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาที่น้ำตกเลย บังมะส่ายหัวและบอกพวกเราว่า ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะเหมารถ 2 แถวพาเที่ยว และจุดนี้รถ 2 แถวไม่จอดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาที่น้ำตก น่าเสียดายมาก  น้ำตกนี้ชื่อเดิมเรียกตามชาวจีนที่มาทำเหมืองกับฝรั่งว่า “น้ำตกวังเวง” และเนื่องในวาระครบรอบ 72 พรรษาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในปี 2542 จึงได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และเปลี่ยนชื่อเป็น “น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9”








จุดต่อไป บังมะพาไป น้ำพุร้อนเบตง แวะให้พวกเราผ่อนคลายด้วยการกินเฉาก๊วยเบตงที่สดชื่นแสนอร่อย และนั่งแช่น้ำพุร้อน 



หายเหนื่อยกันแล้ว จุดต่อไปก็ไป Betong Memorial Arch และ อุโมงค์ปิยะมิตร 

อุโมงค์ปิยะมิตร ตั้งอยู่ที่ บ้านปิยะมิตร 1 ตำบลตะเนาะแมเราะ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นอุโมงค์ดินที่อดีตขบวนการโจรคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.) สร้างขึ้น สำหรับเป็นฐานปฏิบัติการต่อสู้ทางการเมือง แต่ต่อมาได้กลับมาร่วมพัฒนาชาติไทย  อุโมงค์ปิยะมิตร สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2519 ใช้หลบการโจมตีทางอากาศและสะสมเสบียง ในปัจจุบันได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวที่สนใจเข้ามาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในอดีต

การไปชมอุโมงค์ปิยะมิตร ต้องเดินเท้าเข้าไป ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงจะถึงตัวอุโมงค์ โดยจัดทำเป็นเส้นทางเดินแบบบันไดตลอดเส้นทางภายใต้ร่มเงาของพรรณไม้กำบังแดดได้เป็นอย่างดี  เดินไปอาจมีเหนื่อยบ้าง ระหว่างทางก็จะมีจุดแวะต่างๆ

ว่าจะเดินไปให้สุดทาง แต่หัวเข่าเจ้ากรรมเริ่มออกอาการปวดทุกครั้งที่ก้าวขึ้นลงบันได ไปได้แค่นิดเดียวก็ขอยกธง ให้น้องๆไปกันก่อน ส่วนเราเดินย้อนกลับมาทางเข้า นั่งพักรอที่ร้านน้ำปากทางเข้า





บ่ายโขแล้ว และพวกเราก็หมดแรง ตอนแรกตั้งใจจะไปกินปลานิลที่ ร้านอาหาร บ่อปลานิลสายน้ำไหล (โกหงิ่ว) ฟาร์มเพาะเลี้ยงปลานิลรายใหญ่ในอันดับต้นของเบตง เลี้ยงด้วยระบบสายน้ำไหลตามธรรมชาติ โดยใช้น้ำจากเทือกเขาสันกาลาคีรี นอกจากจะเป็นฟาร์มเลี้ยงปลานิลส่งขายแล้ว ยังเป็นร้านอาหารที่เน้นใช้ปลานิลเป็นส่วนประกอบ โดยเฉพาะเมนูเด็ดจิ้มจุ่ม และซาซิมิปลานิลที่สามารถนำมาทานแบบดิบได้ ทั้งรสชาติเนื้อปลาที่หวาน รวมถึงขั้นตอนการทำปลาดิบแบบญี่ปุ่นเป๊ะ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ลืมรสชาติรสชาติปลานิลแบบเดิมที่เคยกินไปได้เลย ปลานิล เป็นปลาที่คุ้นเคยทานกันอยู่บ่อย แต่ทำไมกลายเป็นอาหารขึ้นชื่อของเบตงไปได้ เพราะปลานิลมีลักษณะพิเศษ เลี้ยงในสายน้ำไหลเย็นจากเทือกเขาสันกาลาคีรี ทำให้เนื้อปลามีไขมันแทรกเนื้อจึงนุ่ม ประกอบกับปลาได้ว่ายทวนสายน้ำทำให้เนื้อแน่น และสายน้ำที่ไหลผ่านตัวปลาทำให้ปลาไม่มีกลิ่นโคลน รสชาติปลานิลเบตงเนื้อปลาจึงมีความหวาน จึงสามารถนำมาทำเป็นซาซึมิได้ แถมขนาดยังใหญ่มากเท่ากับปลาแซลมอน 

หลังจากโหวตกันในกลุ่มแล้ว พวกเราเลือกกลับเข้ามาในเมือง มาทานมื้อเที่ยงที่ร้านดังของเบตง คือร้านอาหารต้าเหยิน (กิตติ)  แต่ยังก่อน ก่อนเข้ามาในเมือง เราต้องแวะที่ป้าย โอเคเบตง ก่อน



จุดแวะระหว่างเส้นทางที่บังมะจอดให้ถ่ายรูปสวยๆ








น่าเสียดายที่อาหารที่ร้านอาหารต้าเหยิน (กิตติ) ไม่ยักอร่อยสมคำร่ำลือ อาหารบางจานเย็นชืดมาก สงสัยทำไว้นานแล้ว ไม่คิดจะอุ่นก่อนมาเสริฟให้ลูกค้า พวกเราสรุปกันว่าอาหารที่ร้านรวงข้าว ตรงข้ามที่พักของพวกเราอร่อยและสดกว่ามาก

อิ่มกันดีแล้ว บังมะเปลี่ยนรถเป็นรถตู้ พาพวกเราไปด่านชายแดน Pengkalan Hulu - Betong ถ่ายรูปและซื้อของฝากที่ร้านค้าปลอดภาษี


จบทริปของบังมะ โดยบังมะมาส่งที่ที่พัก แดดยังแรงอยู่มาก ขอพักงีบ อาบน้ำ ดูหนังในห้องพักกันสักพัก เย็นๆค่อยออกมาเดินชมเมืองใหม่ เย็นๆเราก็ออกมาเดินเส้นทางเดียวกับเมื่อวาน ถ่ายรูปกินขนมกันสักพัก ก็กลับมาพัก





วันสุดท้ายที่เบตง เรามีเวลาช่วงเช้า เดินมากินติ่มซ่ำที่ร้านไทซีฮี้ คนเยอะมาก ติ่มซ่ำอร่อยสมคำร่ำลือ แต่คนเยอะมาก และรอนานมาก ถ้ามาอีกคงไม่มาทานที่ร้านนี้แล้ว เพราะคิดว่าร้านอื่นๆก็คงอร่อยไม่แพ้กันแน่

เที่ยงๆ รถตู้ที่เราซื้อตั๋วไว้ ก็มารับพวกเราที่ที่พัก พาเรากลับมาที่หาดใหญ่ คนขับใจดีมาก จอดให้พวกเราเที่ยวชมสะพานโต๊ะกูแช สะพานข้ามทะเลสาบป่าฮาลาบาลา หรือสะพาน คอ-นก-รีต  อันลือชื่อ ที่นายกหญิงคนแรกของไทยเป็นคนตั้งชื่อให้  สวยงามมาก ถ้าสถานการณ์ 4 จังหวัดชายแดนดีขึ้น การท่องเที่ยวย่านนี้ต้องบูมแน่นอน





กลับมาถึงหาดใหญ่แล้ว เรายังมีเวลาที่หาดใหญ่ 1 วันกว่าๆ ก่อนจะเดินทางกลับ กทม. เย็นนี้เราขึ้นมาชมวิวเมืองหาดใหญ่มุมสูง บนเขาคอหงษ์








วันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ พวกเราตั้งใจขึ้นไปไหว้พระพรหมและพระพิคเณศบนเขาคอหงษ์ และไปซื้อของฝากที่ตลาดกิมหยง บ่ายๆค่อยไปเดินเล่นเมืองเก่าสิงหนคร เมืองสงขลา  และค่อยมาเก็บแสงสุดท้ายที่ มัสยิดกลางสงขลา

วันนี้เราเช่ารถขับในเมืองหาดใหญ่และสงขลา หลังจากไปรับรถที่สนามบินหาดใหญ่ก็กลับมาตัวเมืองหาดใหญ่ แวะวัดจีนวัดฉื่อฉาง หลังจากไหว้พระแล้ว เรายังได้มีโอกาสช่วยเหลือขนย้ายโครงกระดาษเครื่องบูชาเจ้าแม่กวนอิมและเทพองค์อื่นๆ ที่มาส่งของแต่ไม่มีคนช่วยขนย้าย












จากนั้นแวะตลาดกิมหยง ซื้่อของฝากกันและกินไก่ทอดมีนาแสนอร่อย จากนั้นก็ขึ้นเขาคอหงษ์ ขึ้นกระเช้าไปไหว้นมัสการพระพรหมที่ยอดเขา ไม่ลืมกระซิบขอพรจากพระพิคเณศผ่านเจ้าหนูพาหนะของพระพิคเณศ








จุดหมายต่อไป เมืองเก่าสงขลา หรือสงหนคร ได้รับการพัฒนาให้น่าเดินมากว่าเมื่อก่อนมาก มีร้านค้าร้านอาหารให้นักท่องเที่ยวแวะกินระหว่างการเดินมากขึ้น มีสตรีทอาร์ตสวยๆให้เดินค้นหามากขึ้น ถ้าอากาศไม่ร้อนมากน่ากลับมาเดินใหม่คราวหน้า

ย่านเมืองเก่าสงขลา อีกหนึ่งจุดเช็คอินที่ห้ามพลาดของจังหวัดสงขลา ประกอบด้วยถนนน่าเที่ยว 3 สาย ได้แก่ ถนนนครนอก ถนนนครใน และถนนนางงาม รายล้อมไปด้วยตึกเก่า สถาปัตยกรรมโบราณ สไตล์ชิโนโปรตุกีส ให้ได้เที่ยวชมความงดงามอันดั่งเดิมของเมืองสงขลา เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของย่านเมืองเก่าสงขลา คือ ภาพวาด Street Art ที่ถือเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลเข้ามาชมความงดงามของตึกเก่าโบราณภาพวาดบนกำแพงที่ซ่อนตัวอยู่ตามแต่ละจุดของตัวเมือง สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ศิลปะและวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่น 















ยังมีเวลาเยอะก่อนแสงสุดท้ายที่มัสยิดกลาง สงขลา พวกเราเลยแวะที่วัดพระมหาธาตุเจดีย์ไตรภพ ไตรมงคล หรือ เจดีย์สแตนเลส 





จุดสุดท้ายของทริปนี้คือ มัสยิดกลาง สงขลา “มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา” หรือชื่อเต็ม “มัสยิดกลางดิย์นุลอิสลาม” เป็นศาสนสถานซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ช่างภาพ ด้วยลักษณะสถาปัตยกรรมที่สวยสง่า มีสระน้ำด้านหน้าทอดตัวยาวกว่า 200 เมตร ทำให้มัสยิดแห่งนี้ดูละม้ายคล้ายคลึงกับทัชมาฮาลที่อินเดีย  โดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ตกที่นี่จะงดงามตระการตามากเป็นพิเศษ  









จึงขอจบทริป โอเตเบตง แต่เพียงเท่านี้  สุดท้ายนี้ขอบอกทุกท่านที่ผ่านมาอ่านบันทึกนี้ เบตงเป็นอำเภอที่สวยงาม ธรรมชาตงดงาม  ผู้คนเป็นมิตรมาก บ้านเมืองมีความปลอดภัยไม่แพ้บ้านเมืองอื่นๆ หวังว่าวันนึงเมื่อสถานการณ์บ้านเมืองปลอดภัยกว่านี้ เบตงน่าจะเป็นจุดหมายในฝันของทุกคนที่อยากมาเยี่ยมเยียน



No comments:

Post a Comment

ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......