Friday, 31 January 2025

Vietnam(3) : Hanoi

 6-15 มกราคม 2568



อ่านตอนก่อนหน้านี้ 

ซาปา :  Somerset's Memories: Vietnam(1) : Sapa, City in the Fog

ฮาลองเบย์ : Somerset's Memories: Vietnam(2) : Halong Bay

ทริปเวียดนามเหนือครั้งนี้ เราใช้เมืองฮานอย เป็นจุดเริ่มต้นทริป และเป็นจุดเปลี่ยนสถานที่ด้วย วันแรกเครื่องบินมาลงที่สนามบินเมืองฮานอย เราไม่ได้เข้าเมืองแต่ต่อรถไปเมืองซาปาเลย พักที่ซาปา 3 วัน ก็กลับมาฮานอย โดยรถไฟตู้นอน พักที่ฮานอย 1 คืน และไปล่องเรือที่อ่าวฮาลอง และพักที่ฮาลอง 1 คืน จึงกลับมาฮานอย และพักที่นี่อีก 2 คืน ก่อนจบทริป 

วันแรกที่เข้ามาพักที่ฮานอย คือกลับจากซาปา เรามาด้วยรถไฟตู้นอน ที่สะดวกสบาย รถวิ่งเงียบไม่แกว่ง เรามาถึงสถานีฮานอย ตอนตีห้า ลงจากรถไฟแล้วมีรถซาเล้งรับจ้างขนกระเป๋ามาหน้าสถานี ก็ช่วยกระจายรายได้ให้เค้าขนกระเป๋ามาส่ง โดยน้องชายเป็นคนเดินตาม พวกเราที่เหลือก็ขึ้นสะพานลอยเข้ามายังสถานีและทะลุออกด้านหน้าสถานี  

 







มีภาพจำคือคำเตือนจากชาวเน็ต บอกว่าอย่าได้ไว้ใจรถแท๊กซี่ที่เราเรียกกลางทาง จะโดนโกงค่ามิเตอร์เอาได้ ให้เรียกใช้แก๊ปที่จะมีค่าแท๊กซี่ระบุชัดเจน  ก็เรียกกันหน้าสถานี แต่แก๊ปแมสเสทมาให้ออกมาด้านนอกริมถนนใหญ่ เพราะแก๊ปเข้ามาไม่ได้ ก็ไม่ค่อยเข้าใจ เพราะก็เห็นรถเข้ามารับผู้โดยสารกันหลายคัน ทั้งแท๊กซี่และรถส่วนตัว ไม่รู้ว่าเหมือนในไทยหรือไม่ที่เกรงใจเจ้าถิ่น

มาถึงโรงแรมที่จองไว้ ชื่อ Kingly Hotel ซึ่งทำเลดีมาก อยู่ใกล้ทางเข้าวัดกลางทะเลสาป ชื่อ Ngoc Son Temple กลางเมืองเก่า รายล้อมด้วยร้านค้า เรามาถึงเช้ามาก ทางโรงแรมแจ้งว่าห้องเต็มตั้งแต่เมื่อวาน แขกยังไม่ได้เช็คเอาท์ ให้พวกเราฝากกระเป๋าไว้ก่อน เอ็งจะไปไหนก็ไปแล้วกลับมาเช็คอินอีกทีตอน บ่ายสองโมง

 

หลังจากเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันกันแล้ว ก็ต้องหาอาหารใส่ท้องกันก่อน ติดๆกับโรงแรม ร้านอาหารริมทางก็เปิดหลายร้านแล้ว แต่ยังพอมีเวลาเยอะ ขอเดินสำรวจลู่ทางกันซะหน่อย ก็พากันเดินมาริมทะเลสาป เจอร้านเฝอริมฟุตบาท มีคนพื้นที่นั่งทานกันเกือบเต็ม และข้างๆก็มีร้านขาย ขนมปังเวียดนาม บั๋นหมี่  มีใส้ต่างๆให้เลือก งานนี้ใครใคร่กินเฝอก็จัดไป ใครใคร่กิน บั๋นหมี่ ก็จัดไป สรุปว่าอร่อยทั้ง 2 ร้าน เฝอเนื้อก็อร่อย น้ำซุปกลมกล่อมมาก ขนมปังบั๋นหมี่เค้าก็อบกรอบอร่อย ไม่เหนียวเหมือนเจ้าอื่นๆ ใส้เนื้อสับใส่ชีสด้วยเหมือนกินแฮมเบอเกอร์เลย



เช้าๆอย่างนี้ ร้านค้าค่อยๆทยอยเปิดร้าน  เราเข้าไปเมียงๆมองกระเป๋าเดินทาง หยิบจับกระเป๋า 20 นิ้ว อาม่าก็เข้ามาถามบอกราคาค่อนข้างสูง จนพวกเราตกใจไม่กล้าต่อ เดินออกจากร้าน อาม่าก็รีบลดราคาให้ทันทีเกือบครึ่ง อิหยังวะ ...

อิ่มกันดีแล้ว ก็ไปเดินย่อยอาหารกันริมทะเลสาป แยกย้ายใครอยากนั่งพักก็นั่ง ใครอยากไปหากาแฟที่มีเปิดมากมายก็ไป  หรือจะเดินเที่ยวริมทะเลสาปเข้าวัดกลางทะเลสาปก็จัดไป

เราเดินไปเข้าวัดหงอกเซิน (Den Ngoc Son) ตั้งอยู่บนเกาะขนาดเล็กๆ ในทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม (Hoan Kiem Lake) หรือ ทะเลสาบคืนดาบ (THE SWORD LAKE) โดยมีสะพานพระอาทิตย์(Cầu Thê Húc) หรือ สะพานเทฮุค เป็นสะพานสีแดงโดดเด่น ใช้ข้ามไปยังวัด

วัดหงอกเซิน (Ngoc Son Temple) หรือวัดโกซอน เป็นวัดพุทธ สร้าง ด้วยสถาปัตยกรรมจีนโบราณ มีความร่มรื่นและบรรยากาศดี นอกจากนี้ยังมี ต้นมหาโพธิใหญ่ ที่นำมาจาก ประเทศอินเดีย เชื่อกันว่าต้นมหาโพธิต้นนี้เป็นต้นที่เจ้าชายสิทธัตถะ ประทับนั่งตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้านหน้าของวัดมีหอระฆังและหอนาฬิกา ด้านหลังของวัดมีศาลเจ้าที่อุทิศให้กับพระโพธิสัตว์กวนอิม ภายในวัดมีพระพุทธรูปหลายองค์ รวมทั้งพระพุทธรูปหยกอันศักดิ์สิทธิ์ที่วัดมีชื่อมาจาก พระพุทธรูปหยกนี้ได้รับการค้นพบในทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม 






 



 






เดินเที่ยวชมกันพอสมควร เรามาแต่เช้าเงียบสงบไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน เรากลับมาตอนสายๆคนเยอะมากต้องเข้าแถวแบ่งกลุ่มเข้าวัด

ออกจากวัดก็มารวมกลุ่มกันอีกครั้ง คุยกันว่าจะไปไหนดี บางคนก็มีอาการเจ็บเอ็นร้อยหวายทำท่าจะเดินไม่ไหว บางคนก็เริ่มหาวง่วงเพราะนอนบนรถไฟไม่ค่อยหลับ  ก็เลยตกลงกันว่าไปนั่งรถท่องเมือง Hanoi City Tour กันดีกว่า ไม่ต้องเดิน หรือถ้าจะงีบก็งีบบนรถได้เลย ปกติจุดจอดรถอยู่ริมทะเลสาปใกล้ๆนี่เอง แต่วันนี้เค้ามีกิจกรรมวิ่ง มีการปิดถนนบริเวณรอบทะเลสาปทั้งหมด จุดจอดรถเลยย้ายไปหน้าโรงละครโอเปร่าไกลออกไปประมาณ 1 กม. 

การนั่งชมเมืองยามเช้า อากาศเย็นสบายอย่างนี้ดีมาก ได้เห็นเมืองเก่าฮานอยตามจุดสำคัญต่างๆ เค้ามีหูฟังที่สามารถกดเลือกภาษาได้หลายภาษา มีภาษาไทยด้วยแต่กดแล้วกลายเป็นภาษาอะไรไม่รู้ จึงต้องเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษแทน รถใช้เวลาวิ่งชมเมืองประมาณ 1 ชม. ก็กลับมาส่งที่เดิม

 




เราเดินกลับมายังโรงแรม โดยเดินไปทะลุริมทะเลสาป แวะเข้าห้างหรูเล็กๆแต่มีร้านค้าแบบซูเปอร์แบรด์ทั้งนั้น แค่แวะเข้าห้องน้ำ ไม่กล้าซื้ออะไรเลย ริมทะเลสาป ร่มรื่น มีเด็กๆ คนหนุ่ม คนสาว มาเดินออกกำลังกาย หรือถ่ายภาพสวยๆกันตลอดทาง ต้นไม้ที่นี่เค้าสูงได้ใจจริงๆ

 

 

ยังพอมีเวลา เดินเลยโรงแรมเป็นแหล่งช้อปปิ้ง พวกกระเป๋า เสื้อกันหนาว เสื้อยืด งานนี้ต้องต่อราคากันอย่างหนัก เพราะเรารู้ราคาจากซาปามาแล้ว แต่ก็ยาก คนขายไม่ค่อยยอม ได้บางร้านที่ราคาสมเหตุผล เช่นเสื้อยืดโลโก้เวียดนาม ต่อจนได้ราคา 150 บาท คนขายยอมรับเงินบาทด้วยแหละ

 



 


เดินมาจนถึงร้านอาหารเวียดนามร้านนี้ ยืนจดๆจ้องๆกัน คิดกันว่าจะลองเข้าดีไม๊ มีคนที่นี่เค้าทานเสร็จเดินออกมา ยกนิ้วให้พวกเรา บอกว่าร้านนี้เด็ด เข้ามาทานได้เลย ก็เลยลองเข้ามาทาน พวกแหนมเนืองและอื่นๆแตกต่างจากที่ขายในบ้านเรา น้ำจิ้มก็ใสๆจืดๆ บ้านเราเด็ดกว่าเยอะ แต่พวกหมูย่างเค้าอร่อยจริง เวลากินก็ต้องคอยสังเกตโต๊ะข้างๆว่าเค้ามีวิธีกินอย่างไร เพราะน้ำจิ้มเค้าให้มาเป็นถ้วยใหญ่ต่อคน เวลากินก็เอาเครื่องลงชุบในถ้วยน้ำจิ้มได้เลย หรือเอาลงคลุกในถ้วยน้ำจิ้มก็ไม่ผิดกติกาใดๆ


หลังจากเช็คอินเข้าที่พักแล้ว ก็พักผ่อนกัน ขี้เกียจเดินแล้ว นัดกันว่าตอนเย็นค่อยออกมาเดินดูแสงกลางคืนกัน 

 

เย็นนี้ เรานัดกันมากินอาหารจีน เป็ดย่าง หมูกรอบ ที่เดินผ่านดูเข้าที่ และไม่ผิดหวังอร่อยเหมือนกินในบ้านเรา  ทานกันเสร็จก็เดินย่อยอาหารริมทะเลสาป พรุ่งนี้พวกเราจะไปล่องเรือในอ่าวฮาลอง และนอนพักที่ฮาลองสักคืน  จึงกลับมาต่อที่ฮานอย เราฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่โรงแรมที่ฮานอย เอาเสื้อผ้าใส่เป้ไป 




 




หลังจากกลับมาจาก ฮาลองเบย์ แล้ว เรามีเวลาที่นี่ 2 คืน  พรุ่งนี้เรากะว่าจะไปนอกเมือง ไปดูหมู่บ้านทำธูป เห็นภาพใหนกูเกิ้ลเม้มแล้วเข้าท่า 

หมู่บ้านชื่ออะไรไม่รู้ แต่สถานที่เราจะไปชื่อ Làng làm hương đỏ ได้จากการไล่ดูสถานที่ในกูเกิ้ลเม้ม เห็นรูปภาพดูเข้าที ลองดูเส้นทางการเดินทาง ไม่ยากเย็น มีรถเมลล์วิ่งผ่าน เรานั่งรถเมลล์สาย 2 ไปประมาณ 32 ป้าย และลงต่อรถอีกคัน สาย91 อีก 33 ป้าย ค่ารถเมลล์ 15,000 ดอง(20 บาท) ตลอดสาย  ตอนขึ้นมาต้องบอกที่หมายกับกระเป๋ารถเมล์ เราเอาชื่อสถานที่ในกูเกิ้ลเม้ม ให้เด็กกระเป๋ารถดู ความที่รถค่อนข้างว่าง และพวกเรามันพวกแตกต่างจากชาวบ้าน ก็เลยเป็นเป้าสายตาที่ทุกคนให้ความสนใจ ว่าไอ้กลุ่มนี้มันจะไปไหนกัน มีบางจังหวะก็มีเด็กนักเรียนเค้ามาช่วยแปลคำถามของพวกเราให้กระเป๋าฟัง ก็น่ารักในความเป็นมิตรดี มีเด็กสาวที่นั่งข้างๆ เค้าคงเห็นชื่อสถานที่มันทั่วไป สงสัยว่าพวกเราจะไปทำไม เค้าก็ถามว่าไปทำไม ไม่มีอะไรเลย  เราก็เอารูปในกูเกิ้ลแม้มให้น้องเค้าดู ว่าเราจะไปหมู่บ้านทำธูป น้องเค้าเห็นก็ร้องอ้อ คือแม้แต่คนที่นี่ก็ไม่ค่อยรู้ว่าหมู่บ้านนี้ทำอะไร  รถเมลล์ที่นี่เค้าจอดทุกป้าย จะมีคนขึ้นหรือไม่มีก็จอด และเค้าขับไม่เร็ว ไปเรื่อยๆ พวกเราก็นั่งชมวิวชมเมืองไปเรื่อยๆ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. ก็ถึงจุดหมาย กระเป๋ารถเมลล์ชี้บอกให้พวกเราลง และบอกให้เดินข้ามสะพานไป นี่แหละเสน่ห์ของคนเอเชียที่มักมีน้ำใจให้กันและกัน ไม่เหมือนพวกฝรั่งเราถามอะไรก็หน้าหงิกใส่ สายตาดูถูกคนเชียอย่างเปิดเผย  แม้ตอนเรารถรถเมลล์เพื่อกลับเข้าฮานอย ก็มีเด็กนักเรียนหูหนวก คงเห็นพวกเรายืนอยู่เข้าใจว่าหลงทางหาหมู่บ้านธูปไม่พบ เลยเดินมาชี้ทางให้ ก็ซาบซึ้งที่น้องเค้ามีน้ำใจ แต่ก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่องว่าเราไปมาแล้ว กำลังรอรถกลับ คือพวกเราทำตัวผิดวิสัยนักท่องเที่ยวที่น่าจะมีรถมากันเอง ไม่ซำเหมาแบบนี้ 





ระหว่างรถวิ่งเข้ามาใจกลางฮานอย ก็พยายดูตามถนนตามแยก ที่เค้ามีภาพรถจักรยานยนต์วิ่งสวนกันกลางสี่แยก ก็คอยลุ้นดู ก็ไม่เห็น เค้าก็เคารพกฎจราจรกันดี ไม่เห็นเหมือนที่เคยดูในสื่อเลย

ลงจากรถเมลล์ ก็เดินต่อไปอีก 100 เมตร ข้ามสะพานก็ถึง รายทางเราจะเห็นแต่ละบ้านทำกิจกรรมเกี่ยวกับการทำธูป เช่นเหลาไม้ไผ่ ชุบสี ตากธูป เป็นต้น แต่จุดที่เราไป เป็นจุดที่เค้าจัดให้นักท่องเที่ยวมาดูและถ่ายภาพสวยๆกับธูป ไม่รบกวนการทำงานของเค้า  ตอนที่สาวน้อยบนรถเมลล์บอกว่ามาทำไม ที่นี่ไม่มีอะไร พวกเราก็เริ่มหนาวแล้ว ว่านั่งรถ 2 ชม. แล้วจะไม่เจออะไร แต่พอมาเห็น ก็ต้องยอมรับว่าไม่เสียเที่ยว


 


มีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ 2-3 ราย ก็คงเหมือนกับพวกเรา คือมาตามหมายของอากู๋ แต่ตอนเรากลับ คนเริ่มหนาแน่น แสดงว่าจุดนี้ก็มีคนรู้เยอะเหมือนกัน เสียค่าเข้าถ่ายรูป และมีเช่าชุดถ่ายกับธูปด้วย

 




 

ถ่ายกันฉ่ำ สีสันสดใส ให้คุ้มการเดินทาง 2 ชม.






 

 


 

 

กลับออกมาจากหมู่บ้านทำธูป เรานั่งรถเมลล์กลับเข้าเมืองเก่าฮานอย ไปลงที่ Văn Miếu – Quốc Tử Giám หรือ Temple Of Literature  วิหารวรรณกรรม หรือ วัดวันเหมียว (Van Mieu) เป็นวัดขงจื๊อโบราณที่มีอายุราวหนึ่งพันปี ที่มีความสำคัญทางด้านการศึกษาเพราะที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของกรุงฮานอย ในสมัยนั้นได้มีการจัดการเรียนการสอนปรัชญาขงจื๊อให้กับบุตรหลานของเหล่าขุนนาง และบุคคลทั่วไปเข้าศึกษา  เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศเวียดนามจนถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 18 





 



นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้ชมความงามของสถาปัตยกรรมเก่าแก่ตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าไปจนถึงตัววิหาร นอกจากนี้ยังมีความเชื่อกันว่าหากมาสักการะองค์เทพขงจื๊อในวิหารที่นี่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จทางด้านการเรียนอีกด้วย ภายในวิหารวรรณกรรมมีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงามมากมาย ไม่ว่าจะเป็นซุ้มประตูต่างๆ อาคารวิหาร ไปจนถึงโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าอย่างเทวรูปเทพขงจื๊อ และศิลาจารึกหินที่สลักรายชื่อผู้ผ่านการสอบจอหงวนเมื่อในอดีตเอาไว้ นอกจากนี้ภาพซุ้มประตูทางเข้าวิหารวรรณกรรมยังปรากฏอยู่บนด้านหลังธนบัตรหนึ่งแสนด่องของเวียดนามอีกด้วย 


  




เดินทะลุเข้ามาก็จะเป็นในส่วนวิหารวรรณกรรม ซึ่งจะเป็นลานโล่ง โดยสมัยก่อนวิหารแห่งนี้ยังไม่มีห้องเรียนการที่เหล่าขุนนางจะสอบจอหงวนนั้นจะใช้ลานกว้างบริเวณหน้าวิหารแห่งนี้เป็นสนามสอบ โดยจักรพรรดิผู้คุมสอบจะนั่งอยู่ภายในวิหารเพื่อควบคุมการสอบ เมื่อมองไปทางขวาก็จะพบกับป้ายหินที่วางบนเต่า ซึ่งบนป้ายหินได้สลักรายชื่อผู้ที่สามารถสอบจอหงวนได้







เดินเข้ามาอีกชั้นจะเป็นในส่วนวิหารที่ประดิษฐานเทพขงจื้อ เชื่อกันว่าหากได้มาขอพระกับเทพขงจื้อจะช่วยให้ประสบความสำเร็จทางด้านการศึกษา

 


 

 

ออกจากที่นี่ ก็แยกย้าย ใครใคร่จะพักผ่อนก็กลับโรงแรม ใครอยากช้อปปิ้งต่อ ก็ไปห้างอิออนกัน  พรุ่งนี้เรามีเวลาที่ฮานอยกันจนถึงเย็น ถึงจะเดินทางกลับกรุงเทพ  พรุ่งนี้ตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นที่ ทางรถไฟ ที่เค้ามีร้านกาแฟริมทาง จะเหมือนกับตลาดร่มหุบ แม่กลองหรือไม่

ตอนเย็น เรานัดกันมากินแหนมเนืองที่ หลานชายที่เคยมาก่อนหน้านี้ แนะนำให้มาให้ได้ และไม่ผิดหวัง อร่อยจริง จนต้องกลับมาซ้ำกันอีกครั้ง 

เช้าวันสุดท้าย เรามาเดินที่ร้านกาแฟริมทางรถไฟ ลักษณะเค้าเป็นร้านกาแฟริมทางรถไฟ นั่งกินกาแฟและดูรถไฟผ่านเพลินๆ คนละแบบกับตลาดร่มหุบ ที่ท้าทายมากกว่า เพราะของบ้านเรามีของขายกันบนรางรถไฟ รถไฟมาก็หุบร่มเข้ามาให้รถไฟผ่าน และกางต่อเมื่อรถไฟผ่านไป ลุ้นกันไปทั้งคนบนรถไฟ และคนที่อยู่ด้านล่าง








จบทริปกันอย่างอิ่มเอม กับการเที่ยวจุดสำคัญของเวียดนามเหนือ ที่อยากจะมาชม และ การช้อปปิ้งเสื้อกันหนาวกันอย่างจุใจที่ซาปา ขอจบทริปกันแต่เพียงนี้ ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบค่ำ