Tuesday 25 November 2014

แบกเป้เที่ยวญี่ปุ่นเมือง Wakayama ตอน2

ตอนที่2 หรือ วันที่2 ของการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองวากายาม่า

ดูตอนที่แล้วได้ที่นี่
http://somersetmghm.blogspot.com/2014/11/wakayama.html#comment-form


วันนี้ตามแผน ตั้งใจจะขึ้นเขา Koyasan และคาดหวังว่า การเที่ยวชมวัดโบราณและใบไม้เปลี่ยนสีที่ Koyasan  จะเป็นไฮไลท์ของทริปทีเดียว

แต่..... บุญมีแต่คงมีกรรมเก่าอยู่มาก  ทำให้ต้องล้มเลิกแผน  เนื่องจากสงสารไอ้ตัวเล็ก ว่าจะทนความหนาวบนเขาไม่ได้  เพราะแค่เดินในเมืองที่ยังหนาวไม่มากนัก ไอ้ตัวเล็กก็เดินไปบ่นไปว่าหนาว ถ้าไปบนเขา Koyasan  จะทรมานแค่ไหน  ด้วยความสงสาร จึงล้มเลิกแผน หันมาปรับแผนใหม่

วันนี้  ไปชมวัด Kimiidera  หลังจากนั้นจะไป Marina City  เพื่อไป ตลาดปลา ดูการแล่ปลามากุโร และ ทานซูชิ หรือ ซาซิมิสดๆ  ถ้ามีเวลาก็จะไปศาลเจ้า Awashima  ส่วนปราสาทวากายามา ค่อยไปวันสุดท้ายก็แล้วกัน

เมื่อคืนกว่าจะกลับมาถึงโรงแรมก็ดึกมาก  และเวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง ทำให้ 2 คน ป้าหลานนอนกันเพลิน  ตื่นมาอีกทีก็เจ็ดโมงกว่าๆแล้ว  แต่เราก็ชิวชิว ไม่รีบร้อนเพราะโปรแกรมเที่ยววันนี้ วนเวียนอยู่ในเมืองวากายาม่า ที่ระยะทางแต่ะละจุดไม่ไกลมากนัก

ออกมาจากโรงแรม ก็ต้องหาอาหารเช้าให้ตัวเล็กก่อน ร้านต่างๆยังไม่เปิดขายตอนเช้า  ฉะนั้นก็ต้องใช้บริการของร้านสะดวกซื้อ ที่มีมุมอาหารเช้าให้เลือก เช่น สลัดผักสดๆ และ แซนด์วิช  รองท้อง

จากนั้นก็มายืนรอรถเมลล์ สาย 121 ที่ป้ายหน้าโรงแรม  ที่จริงไม่ทราบว่าจะต้องขึ้นรถอะไร จึงไปสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ยืนอำนวยความสะดวกแถวนั้น คุณลุง ก็จูงมือมาชี้ป้ายเลขรถให้ดูว่าต้องขึ้นรถเมลล์สายอะไร  และต้องรออีกครึ่งชั่วโมง รถจึงจะมาเข้าป้าย ระหว่างรอเราก็ไปซื้อ สลัดและแซนด์วิช มานั่งทานที่ป้ายรถเมลล์ระหว่างรอ

รถเมลล์มาตรงเวลาดีมาก  คราวนี้คล่องแล้ว สอดบัตรที่ประตูทางขึ้นด้วยความมั่นใจ และขึ้นไปนั่ง  แต่ก็ยังไม่แน่ใจ จึงเดินไปถามคนขับว่าผ่าน Kimii-Dera หรือไม่ คนขับพยักหน้า  เลยบอกให้บอกด้วยถ้าถึงแล้ว  แต่ไม่ต้องบอกก็ได้  เพราะระบบสื่อสารในรถดีมาก เหมือนเรานั่งในรถไฟ จะมีเสียงผ่านลำโพงตามสายบอกชื่อป้ายรถเมลล์ที่จอด และ ป้ายถัดไปทุกครั้ง และรถก็จอดทุกป้าย ทำให้เรานั่งนับป้ายไปตามเสียงบอกได้อย่างไม่ต้องกังวล

และเมื่อใกล้ถึง เราก็เห็นวัดบนเนินเขาแต่ไกล ทำให้มั่นใจว่าเดินทางถึง และ ยังสามารถเดินไปวัดได้ไม่หลงด้วย



เรามาถึงที่วัดเกือบ 9 โมงเช้า  และน่าจะเป็นคนกลุ่มแรกๆที่มายังวัด ร้านค้าหน้าวัดก็ยังไม่ได้เปิดร้านทุกร้าน  เดินไม่นานก็ถึงเชิงบันไดทางขึ้นวัด





หลังชำระค่าเข้า คนละ 200 เยน ก็ค่อยๆไต่ขึ้นบันไดสูงชันขึ้นไป




วัด Kimiidera เป็นวัดมีชื่อในการชมดอกซะกุระบานแรกสุด และเป็นหนึ่งใน 33 วัดของภาคตะวันตกที่มีผู้ไปแสวงบุญเป็นจำนวนมากกันทุกปี ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง ใกล้สถานีรถไฟที่มีชื่อเดียวกันกับวัดคิมิอิเดระ 

ศาลเจ้าKishu Toshogu ถูกสร้างขึ้นตอนต้นสมัยเอโดะโดยโชกุน Yorinobu Tokugawa ได้รับการขนานนามว่าเป็น “Nikko แห่ง Kansai” ภายในมีภาพเขียนบนฝาผนังกั้นห้องที่สวยสะดุดตาและผลงานการแกะสลักของช่างซึ่งถนัดมือซ้ายชื่อ Jingoro Hidari ปัจจุบันจัดเป็นสมบัติล้ำค่าทางวัฒนธรรมของชาติ













ใกล้เที่ยง เราก็กลับลงมารอรถเมลล์ที่ป้ายเดิมที่ลง  เพราะเราจะเดินทางต่อไปยัง Marina City เพื่อไปตลาดปลานั่นเอง  เดินผ่านลานจอดรถใกล้ๆป้ายรถเมลล์  มาสะดุดตากับ ป้ายขายแฮมเบอร์เกอร์ แบบส่งถึงที่ ด้วยไมโครโฟนและลำโพงติดที่ป้าย หันดูรอบๆเห็นร้านขายแฮมเบอร์เกอร์ไม่ไกลนัก ช่างเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ล้ำเลิศจริงๆ




ป้ายรถเมลล์ ที่นี่เค้ามีตารางเวลารถแต่ละสายที่ผ่านไว้ชัดเจน พอจะรู้จากการศึกษาข้อมูลล่วงหน้าว่า นอกจากรถเมลล์สาย 121 แล้ว ยังมีสาย 42 อีกสาย  แต่ทั้ง 2 สาย ต้องรอรถอีกกว่า 40 นาที เมื่อรถเมลล์เข้าจอดป้าย มีเสียงจากลำโพงของรถบอกชื่อสถานที่ปลายทาง Marina City ทำให้มั่นใจว่าคงไม่หลง

12.20 น.  รถเมลล์ก็มาสุดทางที่ Mirina city ลงรถก็เดินเข้าตลาดปลาได้ทันที  และโชคดีจริงๆ เพราะเป็นเวลาที่มีสาธิตการแล่ปลามากุโรพอดี นักท่องเที่ยวมารอชมการสาธิตเยอะแต่ก็พอแทรกตัวไปยืนแถวหน้าได้


ดูการสาธิตการแล่ปลาอย่างคล่องแคล่ว และเฉียบคม จนจบกระบวนการ ก็เป็นรายการซื้อซูชิ มานั่งทานกันริมน้ำ ที่ลมโชยจนหนาว ราคาซูชิมิใช่ถูก ค่อนข้างแพงทีเดียว ราคาพอๆกับในภัตตาคารบ้านเรา











ทานจนอิ่มแล้ว ก็เดินเล่นแถวๆท่าเรือที่ทันสมัยมาก  ตรงข้ามตลาดปลาเป็นสวนสนุกชื่อ Porto Europa  ที่สร้างแบบอาคารยุโรป ค่าเข้าค่อนข้างแพง และเราไม่มีแผนจะไปเล่นสนุก จึงไม่เข้า ถ่ายรูปเล่นด้านหน้าเท่านั้น






ท่าเรือประมงที่นี่สะอาดสะอ้านมาก เรือประมงก็ดูทันสมัย เหมือนเรือยอร์ชสวยๆ  










จนบ่ายแก่ๆจึงเดินทางกลับโรงแรม  เรานั่งรถเมลล์ฝ่ารถติดไฟแดง ที่มีทุกแยก คนขับรถเมลล์สุภาพมากค่อยๆขับแบบสบายๆ ติดได้ทุกไฟแดง เราก็ไม่ว่าอะไร ถือโอกาสชมเมืองไปด้วยในตัว





ถึงสุดทางที่สถานีรถไฟวากายาม่า  ก็เกร่ไปดูการหาเสียง ที่มีรถหาเสียงมาจอดที่หน้าโรงแรมพอดี  การหาเสียงของที่นี่ไม่ทราบว่าเป็นระดับท้องถิ่นหรือระดับไหน  แต่การหาเสียงเค้าสุภาพมาก คนหาเสียงจะยืนหาเสียงบนรถ และมีคณะทำงานมาแจกใบปลิวแบบสุภาพเงียบๆ คนดูก็ยืนดูแบบแอบๆริมทางไม่ขวางทางเดินของคนอื่นๆ  เค้าช่างมีวินัยและเคารพสิทธิ์ก้นดีจริงๆ เจ้าหน้าที่คงเห็นเราสนใจยืนฟังเลยให้ใบปลิวมา 1 ใบ




ระหว่างยืนดู สังเกตเห็นร้านเบเกอรี่ข้างๆโรงแรม แวะเข้าไปอุดหนุนซะหน่อย ซื้อขนมปัง และเค้กมา 1 ชิ้น เค้าใส่ช้อน และน้ำแข็งใส่ถุงเล็กๆมาในกล่องให้ด้วย






เข้าห้องแล้ว ก็ถือโอกาสพักขาสักพักใหญ่ๆ  เพราะตอนเย็นไอ้ตัวเล็กขอช้อปในร้าน 100 เยน ขอซื้อขนมไปแจกเพื่อนๆ ก็เลยต้องตามใจให้เจ้าหล่อนช้อปให้หน่ำใจ เรานั่งรถเมล์สาย 0 ไปที่สถานีรถไฟวากายามาชิ เพราะร้านนี้อยู่ในสถานีนี้ ข้อดีของการใช้ตั๋ว Kansai Thru Pass แบบเหมาก็ดีอย่างนี้ นั่งรถไปกลับได้อย่างสุดคุ้มกี่เที่ยวกี่รอบก็ได้ และคุ้มเกินราคาตั๋วกันเลย







ช้อปจนเหนื่อย ป้าเหนื่อยแต่คุณหลานยังชิวชิว ขนของที่เจ้าหล่อนซื้อมาหลายถุงใหญ่มาเก็บในห้องพักแล้ว ก็ออกมาหาข้าวเย็นทานกัน เดินด้อมๆมองๆตามร้านต่างๆ ก็มาจบที่ร้านหม้อไฟร้านนี้ ไอ้ตัวเล็กใจกล้า เดินอาดๆเข้าร้านทันที คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนเคย อาศัยจิ้มที่รูปอาหารจึงรอดตายมาได้อีกมื้อ








เป็นค่ำคืนของวันที่สองที่จบอย่างแสนสุขจริงๆ

พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายของการเดินทางแล้ว เราจะได้ไปปราสาทวากายามา กันซะที





http://somersetmghm.blogspot.com/2014/11/wakayama_29.html


No comments:

Post a Comment

ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......