Thursday 15 November 2018

ใบไม้เปลี่ยนสีรอบๆโตเกียว 1

วันแรก กรุงเทพ-นาริตะ-นิคโก้
20 Oct 2018






เช้ามืดของวันที่ 20 ตค. 2561 เราก็เหิรฟ้าจาก บางกอกเมืองฟ้าอมร มายัง สนามบินนาริตะ ราวๆบ่ายโมงกว่าๆ  ทริปนี้เราเปลี่ยนสไตล์การเดินทางที่ทุกครั้งใช้รถไฟ รถโดยสารประจำทาง เป็นการเช่ารถขับ



ทันทีที่ผ่าน ตม.สนามบิน เราก็ตรงไปยังเคาเตอร์รถเช่าโตโยต้าทันที  เราทำการเช่าผ่านเว็บชำระเงินมาเรียบร้อยแล้ว แต่ก็เสียเวลาพอสมควรกับการกรอกแบบฟอร์มต่างๆ  เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ก็พาพวกเรา 4 ชีวิต ขึ้นรถตู้ไปรับรถที่ออฟฟิศ ด้านนอกสนามบิน  หลังจากตรวจรับรถ หาวิธีใช้แผนที่ GPS ให้เจ้าหน้าที่เปลี่ยนภาษาในเครื่องจากภาษาญี่ปุ่น ให้เป็นภาษาอังกฤษ ถามวิธีใช้งาน ซึ่งคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะเจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เฮ่อ...

กะกันว่า ขับกันไปก็หาวิธีใช้งาน GPS กันไป เพราะบางเมนูกดแล้วกลายเป็นภาษาญี่ปุ่น  ถ้าไม่ได้ เราก็มี Google map ในมือถือ ซึ่งเราใช้งานได้กันอยู่แล้ว เตรียมออกเดินทาง เสียบชาร์ตมือถือกับที่จุดบุหรี่ในรถ อ้าวไฟไม่ติด ก็ต้องไปลากเจ้าหน้าที่มาดู ปรากฎว่าเสีย จะปล่อยเลยตามเลยก็ไม่ได้ เพราะจำเป็นต้องใช้งานตลอด 9 วันข้างหน้านี้  ที่สุดก็ต้องรอเปลี่ยนรถคันใหม่ เสียเวลาไปนานทีเดียว








และทริปตะลุยรอบๆโตเกียว ก็เริ่มออกเดินทางกันตอนเกือบ 4 โมงเย็น เราแวะ 7-11 ใกล้ๆซื้อข้าวปั้นทานมื้อเที่ยงกันแบบง่ายๆ ตั้งพิกัด GPS มุ่งตรงไปยังนิคโก้เป็นจุดแรก ระยะทาง 190 กม.





ทันที่ที่ขึ้นทางด่วน เราก็พบว่าทางไม่ด่วนอย่างชื่อ เพราะเป็นช่วงเย็นวันศุกร์ งานเลิกพอดี รถติดขนาดหนัก  เราใช้เวลาเกือบ 2 ชม. เรายังไปได้ไม่ถึง 70 กม. หลับแล้วตื่นหลายรอบ จนต้องแวะที่พักรถระหว่างทาง เข้าห้องน้ำ และทานราเมนกัน




พักรถกันสักครู่ ทานอิ่มแล้ว รถติดก็เริ่มคลายตัว หรือ เพราะเราออกมานอกเมืองก็ได้ ทำให้เราเริ่มใช้ความเร็วกันได้ ระยะทางที่เหลืออยู่อีก 120 กว่า กม. เราใช้เวลาวิ่งประมาณ ชม.เศษๆ ก็ถึงนิคโก้

นิคโก้ยามค่ำ 2 ทุ่มกว่าๆ เงียบเหงารถราไม่ค่อยมีให้เห็น  มันทำให้เราย่ามใจว่า นิคโก้ตอนกลางวันคงไม่พลุกพล่าน คนคงไม่เยอะเป็นแน่

เราจองที่พักเป็นบ้านพักชื่อ Midorian Guest House (https://goo.gl/maps/fsFnT3yBqBP2) เป็นบ้านแบบญี่ปุ่น 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นที่พักของเจ้าของบ้านหน่ม พักอยู่คนเดียว  ชั้นบนเป็นห้องพัก 2 ห้อง ขนาด 4 คน และ 3 คน มีห้องนั่งเล่นรวม และ ครัวรวม ห้องส้วมรวม ส่วนห้องอาบน้ำรวมลงมาใช้ชั้นล่าง  เจ้าของบ้านอัธยาศัยดีมาก แนะนำการใช้อุปกรณ์ต่างๆ พูดอังกฤษได้ดี  เรามาถึงดึกแล้วไม่เห็นบริเวณโดยรอบบ้าน คงไว้พรุ่งนี้ค่อยเดินสำรวจกันอีกที

เราเข้านอนกันที่อุณหภูมิด้านนอกบ้าน 9 องศา กำลังหนาวสบายเลย 














โดยรวมแล้ว ห้องพักกว้างขวางใหญ่โตดีมาก คืนนี้มีพวกเราแค่ 4 คนพักที่นี่ ห้องอีกห้องจึงกลายเป็นห้องนั่งเล่นให้เราใช้วางกระเป๋าเสื้อผ้าแทน

รุ่งเช้าตื่นขึ้นมาที่อุณหภูมิต่ำกว่า 8 องศา  รอบๆบ้านใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว หลังบ้านมีลำธารด้วย เมื่อคืนก่อนนอน เจ้าของบ้านเตือนว่า อย่าออกมาเดินนอกบ้านเพราะอาจเจอ หมี และ กวาง เพราะหลังบ้านเป็นป่า




 
 

 

 หลังจากชงกาแฟที่เจ้าของบ้านจัดไว้ให้ และทานข้าวปั้นและขนมปัง ที่เราซื้อมาจากจุดพักรถ เราก็พร้อมจะออกเดินทาง จุดแรกที่ตั้งใจคือ น้ำตก Kegon Falls  ห่างจากที่พัก 17.7 กม. เราขับออกมาได้นิดเดียวก็เจอมหกรรมรถติด ตอนแรกก็คิดว่าคงมีอุบัติเหตุทำให้รถติด เลยเปลี่ยนแผนวกรถกลับมาที่เดิม และ ไปวัด Nikkō Tōshō-gū กว่าจะขึ้นไปถึงที่จอดรถ ใช้เวลานานทั้งที่วัดนี้อยู่ใกล้ที่พักของเรา เพราะรถติดหนักมาก

ศาลเจ้านิกโกโทโช (日光東照宮 Nikkō Tōshō-gū) (https://goo.gl/maps/jjnpWdeqXaN2 ) เป็นศาลเจ้าชินโตที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แด่โชกุนโทกูงาวะ อิเอยาซุ โชกุนคนแรกของตระกูลโทกูงาวะ ที่เรืองอำนาจปกครองญี่ปุ่นมายาวนานกว่า 250 ปี เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานวัฒนธรรม  ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่ตั้งรูปเคารพและป้ายวิญญาณของอิเอยาซุ และมีสถานที่ฝังอัฐิอยู่ที่นี่ การก่อสร้างนั้นได้มีการระดมช่างฝีมือมากว่า 127,000 คน พร้อมทั้งมีการใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยที่สุดในยุคนั้นเพื่อสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นมา ด้วยความที่รวบรวมช่างฝีมือมากมายทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้เต็มไปด้วยงานฝีมืออันประณีตงดงามมากมายด้วยเช่นกัน







 ผู้คนมหาศาลล้านแปด แต่ความเป็นระเบียบของเจ้าของบ้านก็สามารถสะกดให้ นักท่องเที่ยว ไม่ว่า ไทย จีน ฝรั่ง แขก สามารถเที่ยวชมโบราณสถานแห่งนี้ด้วยความสงบ บางจุดที่ต้องเข้าแถวก็ให้ความร่วมมือด้วยดี เราจึงเดินเที่ยวชมได้อย่างทั่วถึง





จุดแรกคือ Ishidorii Gate : ประตูศาลเจ้าที่เราจะเจอด่านแรกก่อนเข้าสู่อาณาเขตศาลเจ้าชั้นในนี้นั้น เป็นประตูโทริอิที่ทำจากหินอันแข็งแกร่ง   มันถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1618 โดยการลำเลียงหินมาทางเรือจากเกาะคิวชู (Kyushu) สู่เมืองโคยามะ (Koyama) ก่อนที่จะลำเลียงทางบกมาสู่นิกโกะอีกที ประตูหินอันเก่าแก่นี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมอันสำคัญ (Important Cultural Property) ของญี่ปุ่นอีกด้วย








Gojunoto : หลังจากผ่านประตู Ishidorii Gate มาแล้วเราจะเจอกับเจดีย์ 5 ชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางป่าไม้อันร่มรื่น  แต่ละชั้นนั้นสื่อถึงธาตุทั้ง 5 อันได้แก่ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ, อากาศ เจดีย์นี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1648 แต่มันก็ถูกไฟไม้จนวอดในปี ค.ศ.1815 และถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ.1818  และเจดีย์นี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมอันสำคัญ (Important Cultural Property) ของญี่ปุ่นอีกด้วย








Omotemon : ประตูหน้านี้ถือเป็นประตูศาลเจ้าแรกสำรับอาณาเขตศาสเจ้าชั้นใน ประตู้นี้ยังถูกเรียกว่า Nio Gate เพราะว่ามีรูปปั้นยักษ์สองตนคอยอารักขาศาลเจ้าอยู่ที่ริมประตูทั้งสองฝั่งด้วยนั่นเอง ประตูนี้เป็นงานไม้อันวิจิตร และยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมอันสำคัญ (Important Cultural Property) ของญี่ปุ่นอีกด้วย




Sanjinko : หมู่อาคารคลังเก็บสมบัติแห่งการสักการะบูชาในศาสนาชินโตทั้งสามหลังนี้โดดเด่นด้วยงานแกะสลักไม้ที่ตกแต่งโดยรอบอย่างงดงามอลังการมีสีสันอันสวยสดงดงาม รูปแกะสลักที่มีชื่อเสียงที่ประดับอยู่บริเวณอาคารนี้ก็ได้แก่ Sozonozo Elephants (Imaginary Elephants) หรือ ช้างในจินตนาการ โดยรูปแกะสลักอันวิจิตรนี้แกะโดยศิลปินในยุคนั้นที่ไม่เคยเห็นช้างมาก่อน








Sanzaru (Three Wise Monkey) : สำหรับรูปแกะสลักที่โด่งดังที่สุดนั้นเห็นจะเป็นรูป ลิงสามตัว (三猿 – sanzaru) ซึ่งอยู่บนอาคาร Shinkyusha โดยรูปแกะสลักนี้เป็น ลิงปิดหู ลิงปิดปาก ลิงปิดตา ซึ่งนี่คือต้นกำเนิดปริศนาธรรมอันโด่งดังที่หมายถึง “การไม่เปิดตารับรู้โดยการมองสิ่งที่ไม่ดี” “การไม่เปิดหูรับฟังในสิ่งที่ไม่ดี” และ “การไม่เปิดปากกล่าววาจาในสิ่งที่ไม่ดี” ซึ่งว่ากันว่าภาพแกะสลักปริศนาธรรมนี้ตีความมาจากคัมภีร์ตามหลักขงจื้อของจีนที่เข้ามาในญี่ปุ่นพร้อมพุทธศาสนาช่วงราวศตวรรษที่ 8 และกลายมาเป็นตำนานเล่าขานกันต่อมา รูปแกะสลักนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมอันสำคัญ (Important Cultural Property) ด้วยเช่นกัน






Yomeimon Gate :
ประตูศาลเจ้านี้เป็นประตูไม้ที่สร้างขึ้นอย่างวิจิตรและถือเป็นสัญลักษณ์ (ภาพที่ปรากฏให้คนทั่วไปได้รู้จัก) ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีของศาลเจ้าโทโชกุนี้เลยก็ว่าได้ ประตูนี้ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “Main Gate of the Imperial Court” และมีอีกชื่อว่า “Gate of the Setting Sun” ประตูนี้เต็มไปด้วยรูปสลักอันวิจิตรกว่า 500 สิ่ง และเต็มไปด้วยเรื่องราวที่แฝงปริศนาธรรมไว้มากมาย ทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกแห่งชาติญี่ปุ่น (National Treasure of Japan) ด้วย และประตู Yomeimon Gaet นี้ยังได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในประตูที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นปุ่นเลยทีเดียว >>> (หมายเหตุ : ขณะนี้มีการบูรณะประตู Yomeimon Gate อยู่ ซึ่งการซ่อมแซมนั้นจะมีการคลุมประตูไว้ตลอด การบูรณะในครั้งนี้มีกำหนดแล้วเสร็จ ค.ศ.2019)












และอื่นๆที่บริเวณโดยรอบ




















นกและสัตว์นานาอริยบท











ขาออกแวะถ่ายป้ายชื่อวัดสักนิด





ออกจากวัด เราไปแวะร้านโซบะที่มีคนแนะนำไว้ ไม่ไกลจากวัดนักชื่อร้าน たくみ庵 พิกัด https://goo.gl/maps/bD5piA498Mq  ร้านอยู่ท้ายสวน Nikko Tamozawa Imperial Villa Memorial Park  เป็นร้านโซบะทำเอง คนเต็มร้านต้องรอคิว แต่ไม่นานนัก ทานแล้วรสชาติก็งั้นๆ ไม่มีอะไรน่าประทับใจ และราคาแพงไปนิด













อิ่มแล้วพึ่งบ่ายโมงกว่า เลยตัดสินใจลองไปน้ำตกอีกครั้ง ลองไปรถติดดูอีกสักที คงไม่นานเท่าไหร่   และเราก็พบว่า นรกมีจริง ระยะทาง 17 กม. บ่ายสีโมงเย็นเราก็ยังไปไม่ถึง ทางวันเวย์ จะกลับก็ไม่ได้ จะไปต่อก็ไม่ได้ ต้องตามขบวนเค้าไป หยุดนิ่งมากว่าขยับ  โชคดีว่าเราตัดสินใจแวะเติมน้ำมันรถเต็มถังแล้ว ค่อยอุ่นใจหน่อย













ช่วงนี้มืดเร็วด้วย สี่โมงกว่าๆก็เริ่มมืดแล้ว จนถึงทางแยกไปทะเลสาป เราเลยเปลี่ยนเส้นทาง ไปทะเลสาปกัน คงได้แสงสุดท้ายที่นี่บ้างละนะ






ถ่ายมันจุดเดียวจนมืด จะวกกลับรถก็ยังติดหนัก เลยลองวกเลียบทะเลสาปหาร้านอาหารทานมื้อเย็นกัน จนมาเจอ Ryuzukanzeon และน้ำตก Ryuzu Falls มองที่ถนนรถก็ยังติดหนักไม่ขยับเลย ตัดสินใจแวะพักที่นี่แหละ รอจนรถว่างค่อยกลับกัน  ก็ไม่เลวนักสำหรับน้ำตกยามค่ำที่มีแสงไฟช่วยให้สีสรร






เติมพลังด้วยโซบะสักนิด อร่อยที่เดียวรสดีกว่าร้านกลางวันอีก ราคาไม่แพงด้วย



ถนนว่างแล้ว ร้านก็จะปิดแล้ว ลองขับรถออกมาได้นิดเดียว รถยังติดอยู่ ทนรถติดขยับมาเรื่อยๆจนถึงที่พัก เข็ดแล้ว     นิคโก้ คงไม่มาซ้ำอีกแล้ว พรุ่งนี้เช้า เราจะเดินทางต่อไป ฟูกุชิมะ  ติดตามชมได้ที่นี่

https://somersetmghm.blogspot.com/2018/11/2.html


No comments:

Post a Comment

ผ่านมาแล้วอย่าผ่านเลยไป แวะทักทายกันสักนิด......